อิตาลีเป็นประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณยุโรปใต้ และเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกที่ร่วมกันก่อตั้งสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) ขึ้นมา อิตาลีถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลก จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่อิตาลีจะเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม G8 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกในกลุ่ม G8 นี้นับเป็นกว่า 50% ของเศรษฐกิจโลก
ถึงแม้ว่าอิตาลีจะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ติดอันดับโลก แต่ความปลอดภัยของผู้หญิงในประเทศนี้กลับมีน้อยมากๆ แม้อิตาลีจะออกกฎหมายใหม่มาเพื่อคุ้มครองผู้หญิงมากขึ้น แต่กฎหมายนี้ก็ยังคงล้มเหลวในการป้องกันความรุนแรงต่อผู้หญิงอิตาลี
ความรุนแรงในครอบครัวมักเกิดขึ้นเป็นประจำในประเทศอิตาลี ถึงแม้ว่าชาวอิตาเลียนจะได้รับการศึกษาที่ดี มีอาชีพการงานที่มั่นคงทั้งผู้ชายและผู้หญิง และผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งห้ามใช้ความรุนแรงไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น แต่ผู้หญิงในอิตาลีกับตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวอย่างที่คิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวในอิตาลีนั้นถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกๆ ที่และทุกๆ ชนชั้นในสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติของอิตาลีเปิดเผยว่า ในจำนวนผู้หญิงทุกๆ 3 คน จะต้องมีหนึ่งคนที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาความรุนแรงนี้เป็นปัญหาใหญ่และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสถานีตำรวจเกือบทุกสถานีถึงกับยกเลิกการรายงานจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัวในท้องที่ที่ตัวเองรับผิดชอบไปเลยก็มี เพราะมีคดีเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
การที่ตำรวจเกือบทุกสถานียกเลิกการรายงานจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ทำให้สำนักงานสถิติแห่งชาติไม่สามารถรายงานได้ว่า ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา มีจำนวนคดีความที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมากน้อยแค่ไหนในแต่ละพื้นที่
เมื่อสำนักงานสถิติแห่งชาติไม่สามารถรายงานเรื่องจำนวนคดีความที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ องค์กร Women Against Violence Europe (หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า WAVE) ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า UNFPA) ให้ทำการสำรวจดูว่า พอจะหาข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัวจากทางด้านอื่นๆ ได้หรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่า WAVE ไม่สามารถหาข้อมูลที่ระบุได้ว่า เพศใดตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากกว่ากัน ช่วงอายุเท่าไรที่มักตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง และไม่สามารถระบุได้ว่า เหยื่อกับผู้ใช้ความรุนแรงมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอย่างไร
ดังนั้นทาง WAVE จึงได้ตัดสินใจที่จะทำการสำรวจด้วยตัวเองว่า มีผู้คนจำนวนเท่าไรในอิตาลีที่ต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อเป็นการเพิ่มเติมข้อมูลเหล่านี้ที่ขาดแคลนในประเทศอิตาลี จากผลการสำรวจพบว่า ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 16–70 ปี มีถึง 31% (ประมาณ 6,743,000 คน) ด้วยกันที่จะต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจากผู้ชายครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเธอ และมีผู้หญิงถึง 18.8% ด้วยกันที่มีประสบการณ์การถูกทำร้ายร่างกายจากผู้ชายเป็นประจำ และอีก 23.7% ของผู้หญิงในช่วงอายุนี้ที่จะต้องมีประสบการณ์การถูกลวนลามทางเพศ
นอกจากนี้ WAVE ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ผู้หญิงอายุระหว่าง 16-34 ปี เป็นช่วงอายุที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงอายุอื่นๆ และผู้ที่ใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงในช่วงอายุนี้ก็คือ ผู้ชายที่เป็นสามีหรือแฟน นอกจากนี้ WAVE ยังพบว่า ถึงประเทศอิตาลีจะเป็นประเทศที่ผู้หญิงเห็นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่ผู้หญิงอิตาลีก็ยังคงกลัวที่จะเปิดเผยหรือแจ้งความกับตำรวจเมื่อพวกเธอถูกลวนลามทางเพศ WAVE เปิดเผยว่า มีผู้หญิงถึง 92% เลยทีเดียวที่ถูกข่มขืนแต่กลับไม่กล้าแจ้งความต่อตำรวจ
จากสถิติที่ได้มาจาก WAVE นี้ ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปัญหาเรื่องการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
การเป็นผู้หญิงในประเทศอิตาลีนั้น ไม่ใช่ต้องระวังตัวเพียงแค่เรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัวเท่านั้น แต่ผู้หญิงอิตาลียังต้องระวังการถูกสาดน้ำกรดอีกด้วย
การสาดน้ำกรดใส่ผู้หญิงในประเทศอิตาลีนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมากๆ เราอาจจะเคยเห็นตามละครโทรทัศน์ว่านางอิจฉาชอบที่จะใช้น้ำกรดสาดใส่หน้านางเอกเพื่อเป็นการแก้แค้นและทำให้นางเอกหน้าตาเสียโฉม แต่ในประเทศอิตาลีนั้นมีผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่เดินอยู่ตามท้องถนนและต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกสาดน้ำกรดใส่หน้าจากผู้ชาย การสาดน้ำกรดนี้เริ่มถูกใช้มากขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศอิตาลี และประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะตกเป็นเหยื่อของการถูกสาดน้ำกรด แต่ก็มีผู้ชายจำนวนหนึ่งเช่นกันที่ต้องตกเป็นเหยื่อการถูกสาดน้ำกรดด้วยเช่นกัน
การสาดน้ำกรดถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะได้รับบาดเจ็บมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับว่า เหยื่อโดนน้ำกรดสาดใส่ร่างกายและใบหน้ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ที่โดนสาดน้ำกรดใส่หน้ามักจะถูกน้ำกรดสาดใส่บริเวณดวงตา ทำให้อาจจะตาบอดได้ และถ้าหากโดนน้ำกรดสาดใส่ตัว น้ำกรดที่โดนผิวหนังสามารถละลายชั้นผิวหนังไปจนถึงกระดูกได้เลยโดยใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้นหรืออาจจะเร็วกว่านี้ก็เป็นได้ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา
น้ำกรดสามารถหาซื้อได้ง่ายและพกพาสะดวกอีกต่างหาก เพราะน้ำกรดเป็นน้ำที่ใสเหมือนกับน้ำ ผู้คนทั่วไปจึงไม่สามารถแยกความแตกต่างของน้ำเปล่าและน้ำกรดได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นผู้ที่ใช้ความรุนแรงจึงมักเทน้ำกรดใส่ขวดแก้วใบเล็กๆ และพกพาไปในที่ต่างๆ และยังสามารถสาดน้ำกรดใส่เหยื่อได้โดยที่เหยื่อไม่ได้ระแวงหรือสงสัยตั้งแต่แรก
ตอนนี้การสาดน้ำกรดได้ถูกจัดให้เป็นความรุนแรงในรูปแบบหนึ่งต่อผู้หญิง แต่ปัญหาที่ตามมาคือ เป็นการยากที่ตำรวจจะตามจับผู้ร้ายที่เป็นผู้ลงมือสาดน้ำกรด เพราะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีสามารถทำให้เหยื่อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และยังมีเวลาอย่างเหลือเฟือให้คนร้ายใช้หลบหนี โดยที่เหยื่ออาจจะไม่สามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายได้เลย เพราะอยู่ในช่วงตกใจหรืออาจจะถูกน้ำกรดสาดใส่หน้าและทำให้มีผลต่อการมองเห็น ในด้านของตำรวจก็เช่นกัน กว่าตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายก็หนีไปนานแล้ว และยังยากต่อการรู้ใบหน้าของคนร้ายที่หลบหนีไปอีก ผู้ร้ายส่วนใหญ่ในคดีสาดน้ำกรดจึงมักจะหนีรอดมากกว่าถูกจับกุม
ตอนนี้ที่อิตาลีเรื่องของ Lucia Annibali กำลังโด่งดัง หลังจากเธอถูกสาดน้ำกรดและมีชีวิตรอดมาได้ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องทำการผ่าตัดใบหน้าถึง 7 ครั้งเพื่อทำให้หน้าของเธอกลับมาเป็นเหมือนคนปกติก็ตาม นอกจากนี้ในคดีความของเธอ ตำรวจยังสามารถจับตัวผู้ร้ายที่สาดน้ำกรดใส่เธอได้ และถูกศาลตัดสินให้มีความผิดและต้องถูกจำคุก
Lucia ปัจจุบันอายุ 36 ปี และมีอาชีพเป็นทนายความ เธอพบกับ Luca Varani ที่เป็นทนายความเหมือนกับเธอในที่ทำงาน Lucia ไม่เคยมีความคิดเลยว่า Luca เป็นผู้ชายที่อันตรายมากๆ ดังนั้นหลังจากที่ทำงานมาด้วยกันซักพักหนึ่งทั้งสองคนก็เริ่มคบกัน แต่หลังจากที่คบกันมาได้ 3 ปี Lucia ก็จับได้ว่า Luca คบผู้หญิงสองคนในเวลาเดียวกัน เธอจึงตัดสินใจที่จะจบความสัมพันธ์กับ Luca ลง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่ได้จบลงทันที พวกเขายังคงตกลงกันไม่ได้และมีการกลับมาคบกันบ้างหรือเลิกกันไปบ้างเป็นเวลาชั่วคราว จนกระทั่ง Lucia ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าจะเลิกกับ Luca อย่างแน่นอนแล้ว ความสัมพันธ์ในครั้งนี้จึงจบลง
เมื่อ Luca แน่ใจแล้วว่า Lucia ตัดสินใจเลิกกับเขาอย่างเด็ดขาดแล้ว Luca ได้ทำตัวเป็นนักสะกดรอย (Stalker) โดยเขาได้ตาม Lucia ไปในทุกๆ ที่ที่เธอไป พฤติกรรมของนักสะกดรอยมักจะประกอบไปด้วยความพยายามที่จะติดต่อสื่อสารกับเหยื่อที่เป็นเป้าหมาย ด้วยการไปเฝ้าที่ทำงาน ที่บ้าน หรือโทรหาเหยื่อที่เป็นเป้าหมายในตอนกลางคืน เรื่องนี้ทำให้ Lucia ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงตลอดเวลา และเธอก็ได้แจ้งตำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดเลยว่า Luca จะทำร้ายเธอด้วยการสาดน้ำกรด
วันที่เกิดเหตุ Lucia กลับมาบ้านหลังจากที่ไปว่ายน้ำมา และพบว่า โต๊ะที่วางอยู่ในครัวไม่ได้อยู่ในที่ของมัน ทำให้ Lucia รู้สึกกลัวและพยายามหาทางที่จะออกมานอกบ้าน แต่เมื่อเธอหันกลับไปที่ประตูก็พบว่า มีผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงนั้นและคนหนึ่งในนั้นก็สาดน้ำกรดมาใส่หน้าเธอ ยังคงเป็นโชคดีของ Lucia ที่เธอถูกส่งมาโรงพยาบาลทันเวลา ทำให้หมอสามารถช่วยชีวิตเธอไว้ได้ Lucia ต้องได้รับการผ่าตัดถึง 7 ครั้ง เพื่อให้หน้าของเธอกลับมาเป็นเหมือนหน้าของคนปกติ แม้ว่าใบหน้าของเธอจะไม่เหมือนเดิมเลยก็ตาม
Lucia ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนที่เธอจะได้รับการผ่าตัดที่ใบหน้า เธอก็เหมือนกับเหยื่อคนอื่นๆ ที่รู้สึกท้อแท้และไม่อยากมีชีวิตอยู่ เพราะใบหน้าของเธอนั่นแย่มาก และทุกครั้งที่ไปขึ้นศาลแล้วเจอกับ Luca เขามักจะพูดใส่หน้าเธอทุกครั้งว่า “ใบหน้าของเธอเป็นใบหน้าที่สวยที่สุดซึ่งเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เรื่องนี้ทำให้ Lucia เสียใจมาก เพราะเธอยังคงไม่สามารถยอมรับใบหน้าของเธอที่ถูกสาดน้ำกรดได้ แต่เมื่อเธอได้รับการผ่าตัดให้มีใบหน้าใหม่ เธอก็มีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตมากขึ้น และยิ่งรู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อศาลตัดสินให้เธอชนะคดีในครั้งนี้ และผู้ร้ายถูกลงโทษตามกฎหมาย ปัจจุบันนี้ Lucia ไม่ได้เป็นทนายความอีกต่อไป แต่เธอเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงและเป็นนักสิทธิมนุษยชน
Lucia กล่าวว่าอิตาลีเป็นเหมือนประเทศของผู้ชายที่กฎหมายที่คุ้มครองผู้หญิงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงน้อยและช้ามากในการที่จะปกป้องผู้หญิง นอกจากนี้อิตาลียังขาดแคลนการสนับสนุนให้ผู้หญิงกล้าที่จะออกมาแจ้งความเมื่อพวกเธอตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง
ปัญหาที่ผู้หญิงไม่กล้าออกมาแจ้งความหลังจากที่ตัวเองตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงนั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไม่ใช่เพียงแต่ประเทศอิตาลีเท่านั้น สาเหตุหลักๆ ที่ผู้หญิงไม่กล้าออกมาแจ้งความอาจจะเป็นเพราะความอายที่ต้องมาเล่าเรื่องพวกนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะปกป้องคุ้มครองพวกเธอให้ปลอดภัยได้ถ้าหากพวกเธอออกมาแจ้งความ ถ้ารัฐบาลสามารถให้ความมั่นใจในเรื่องนี้ได้ ก็คงมีผู้หญิงเป็นจำนวนไม่น้อยที่กล้าออกมาแจ้งความ
นอกจากนี้อิตาลีควรจะหาทางลดจำนวนคดีการใช้ความรุนแรงในครอบครัวรวมไปถึงการสาดน้ำกรดด้วย โดยอาจจะเริ่มจากการปลูกฝังให้ผู้ชายได้รู้ว่าการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในครอบครัวเป็นเรื่องที่ผิด ถ้าสามารถปลูกฝังเรื่องนี้ได้ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวก็น่าจะลดลง เพราะผู้ที่ใช้ความรุนแรงส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชายที่เป็นบุคคลใกล้ชิดหรือบุคคลในครอบครัวกับเหยื่อ
Column: Women in Wonderland