ฉบับที่แล้วผมเขียนเกี่ยวกับคดีของลี เกา ฮุย ซึ่งเป็นคดีดังคดีหนึ่งประจำปีนี้ของนิวซีแลนด์ เหตุผลก็เพราะเนื้อหาน่าติดตามคล้ายๆ หนังผจญภัย แต่ฉบับนี้ผมขอเขียนถึง คดีของเดวิด เวลส์ เป็นคดีอาญาที่ดังไม่แพ้กัน แต่คดีนี้เป็นคดีที่ผมอ่าน แล้วไม่รู้สึกสนุกหรือน่าติดตามอะไรเลย อ่านแล้วรู้สึกขยะแขยงมากกว่า และผมเชื่อว่าสำหรับคนไทยบางคนอ่านแล้วอาจจะไม่ใช่แค่ขยะแขยง แต่โกรธเลือดขึ้นหน้า อยากรุมกระทืบนายคนนี้ซะด้วย เพราะเดวิด เวลส์ ผู้ต้องหา ทำธุรกิจเซ็กซ์ทัวร์รับจัดโปรแกรมสำหรับฝรั่งวิปริตวิตถารในนิวซีแลนด์มาสะบึมโสเภณีเด็กในประเทศไทย
ตัวผมเองนั้นย้ายมาอยู่ต่างประเทศนานแล้ว ฉะนั้นผมเลยไม่ได้ติดตามข่าวทางเมืองไทยเท่าไหร่ จำได้ว่าเคยดูคลิปข่าวในเมืองไทยเกี่ยวกับโสเภณีเด็กในยูทูป เป็นรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสรยุทธ์ ซึ่งเป็นเรื่องแม่บังคับให้ลูกที่เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 6-13 ขวบ ขายตัวให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่วิปริต เดินทางมาเมืองไทยเพื่อมาสะบึมโสเภณีเด็กโดยเฉพาะ ตัวแม่นั้นคอยคุมงานอย่างใกล้ชิด เวลาลูกโดนสะบึมอยู่ ถ้าเกิดอวัยวะเพศของชาวต่างชาติใหญ่ยัดไม่เข้า เพราะอวัยวะเพศของเด็กผู้หญิงอายุ 6-13 ขวบมันเล็กนิดเดียว ลูกร้องว่าเจ็บเมื่อไหร่ ก็จะเป็นสัญญาณให้แม่ (ใจยักษ์) รีบยื่นมือเข้าช่วยเหลือแต่ไม่ได้ช่วยเหลือลูกนะครับ แต่ช่วยเหลือฝรั่งวิปริตพวกนั้น โดยรีบเอาเจลมาละเลงทาอวัยวะเพศลูกให้ลื่นๆ ฝรั่งวิตถารพวกนั้นจะได้ยัดอวัยวะเพศเข้าไปได้สำเร็จ
ฟังๆ แล้วก็น่าขยะแขยงไม่น้อย และเหตุผล ที่ผมคิดว่าธุรกิจแบบนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ก็เพราะโสเภณีเด็กนั้น จริงๆ ก็คือเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต่างจากอาชีพโสเภณีทั่วไปที่ผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปทำ ซึ่งในความเห็นของผมที่เป็นคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่นอกประเทศไทย ผมมีความเห็นว่าโสเภณีไม่ใช่สิ่งที่รับไม่ได้ หากคนทำสมัครใจที่จะมาทำ ไม่ได้มาทำเพราะถูกบังคับหรือถูกพ่อแม่ขายมา ในประเทศ นิวซีแลนด์เองนั้นโสเภณีเป็นอาชีพถูกกฎหมายอาชีพ หนึ่ง ซึ่งผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถจะเลือกทำได้ เพียงแต่ต้องขอใบอนุญาตจากทางการซะก่อน
เนื่องจากประเทศนิวซีแลนด์มีกฎหมายบังคับว่าทุกคนจะต้องเรียนให้จบ Year 12 ถึงจะทำงานเต็มเวลาได้ รัฐบาลมีนโยบายให้นักเรียนกู้เงินเรียนใน มหาวิทยาลัยได้ (Student Loan) ขณะเรียนรัฐบาลจะจ่ายเงินค่ากินค่าอยู่ให้ทุกสัปดาห์ (Student Allowance) เด็กนิวซีแลนด์จึงมีทางเลือกมากมายหลังจากเรียนจบมัธยม ไม่ว่าจะทำงานเต็มเวลาในอาชีพธรรมดา ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย (ซึ่งใครเลือกทางเลือกนี้รัฐบาลก็จะให้เงินใช้ทุกสัปดาห์ และให้เงินกู้เรียนจนจบ เริ่มทำงานเมื่อไหร่ก็ค่อยมาหักเงินเดือนจ่ายเงินกู้คืน) ฉะนั้นผมจึงรับได้ที่โสเภณีเป็น อาชีพถูกกฎหมาย เพราะนิวซีแลนด์ได้เตรียมเด็กจนพวกเขามีความรู้จบ Year 12 ยังให้โอกาสพวกเขาให้ กู้เงินเรียนในมหาวิทยาลัยได้อีก พูดง่ายๆ ว่า คนนิวซีแลนด์ที่อายุถึง 18 ปีทุกคนมีทางเลือกในชีวิต เปิดสำหรับเขาหลายทาง และก็มีความรู้พอที่จะเลือก ไม่ว่าจะเรียนต่อหรือทำงานในนิวซีแลนด์ หรือย้ายไป ทำงานที่ออสเตรเลียหรืออังกฤษ ฉะนั้นถ้าคนนิวซี แลนด์คนไหนอายุถึง 18 ปีแล้วเลือกที่จะเป็นโสเภณี นั่นก็น่าจะหมายความว่าเขาเลือกด้วยความสมัครใจ อย่างแท้จริง เพราะสังคมได้เตรียมให้พวกเขาพร้อมแล้วในทุกด้าน และเปิดทางเลือกมากมายให้เขาแล้ว แต่เขาก็ยังเลือกทางนี้ ฉะนั้นต้องถือว่าเขาได้ตัดสินใจ เลือกสิ่งที่เขาเชื่อว่าดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว
แม้ผมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ถ้าชาวนิวซีแลนด์ ที่อายุ 18 ปีขึ้นไปจะเลือกเป็นโสเภณี แต่ผมไม่เห็นด้วยแน่นอน ถ้าเกิดผมเห็นเด็กนิวซีแลนด์ที่อายุ 14-17 ปี ทำอาชีพนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสมัครใจทำ นั่นก็เพราะพวกเขายังไม่มีความรู้จนจบมัธยมปลาย พวกเขาจึงยังไม่อยู่ในฐานะที่พร้อมที่จะเลือกทางชีวิตของตัวเขาเอง และยังไม่รู้ว่าทางเลือกในชีวิตมีหลากหลายกว่าอาชีพโสเภณีมากนัก ยิ่งเด็กที่อายุน้อยกว่า 14 ปี มาทำอาชีพนี้ ผมยิ่งไม่เห็นด้วยใหญ่ เพราะผมเชื่อว่าพวกเขายังไม่ประสีประสาในเรื่องนี้แน่นอน ฉะนั้นถ้ามาทำอาชีพนี้ก็น่าจะเชื่อได้เลย ว่าต้องถูกบังคับให้มาทำ
รัฐบาลนิวซีแลนด์คงจะคิดเหมือนผม เพราะกฎหมาย ประมวลอาญาของนิวซีแลนด์นั้นบัญญัติไว้ว่าใครก็แล้วแต่ที่ซื้อบริการโสเภณีที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีถือว่ามีความผิดทาง อาญาต้องติดคุก ที่น่าสนใจก็คือสำหรับนิวซีแลนด์นั้น ไม่ว่าประชาชนของเขาจะไปซื้อบริการโสเภณีเด็กในประเทศไหนในโลกก็ถือว่าทำผิดกฎหมายมาตรานี้ทั้งนั้น สามารถนำตัวมาดำเนินคดีได้ ฉะนั้น หากชาวนิวซี แลนด์คนไหนใช้บริการเซ็กซ์ทัวร์ไปซื้อบริการโสเภณีเด็ก ไม่ว่าจะในประเทศไหนในโลกทางการสามารถจับมาขึ้นศาลนิวซีแลนด์ได้ทั้งนั้นและไม่ใช่ลูกค้าเท่านั้น ที่มีความผิด บริษัททัวร์ที่ขายเซ็กซ์ทัวร์สะบึมโสเภณีเด็ก ไกด์นำทัวร์ที่พาลูกค้าไปสะบึมโสเภณีเด็กถึงเล้า และพวกแม่เล้าที่มีเด็กอยู่ในสังกัด ถ้าถูกจับได้ก็ถือว่า มีความผิดทางกฎหมายต้องเข้าคุกเช่นกัน
สำหรับคดีเวลส์นั้นก็มีเรื่องน่าสนใจหลายอย่าง สิ่งน่าสนใจเรื่องแรกก็คือเวลส์เป็นคนนิวซีแลนด์คนแรก ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาทำธุรกิจจัดทัวร์โสเภณีเด็กและ โฆษณาทัวร์โสเภณีเด็กในประเทศนี้ แน่นอนว่าคนนิวซีแลนด์พอรู้เรื่องนี้ก็ช็อกกันมาก เพราะไม่อยากเชื่อ ว่าเพื่อนร่วมชาติตัวเองจะทำอะไรที่น่าเกลียดได้ขนาดนี้ หากท่านผู้อ่านลองเสิร์ชในเว็บไซต์กูเกิลดู แล้วพิมพ์ชื่อจริงของเวลส์ลงไป (David Robin Wales) จะเห็น กระทู้ออนไลน์ต่างๆ ที่คนนิวซีแลนด์ต่างร่วมก่นด่าและสาปแช่งเขากันอย่างพร้อมเพรียง ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือเวลส์ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องทัวร์โสเภณีเด็กแขนง ผู้หญิง แต่เวลส์ทำการตลาดโปรโมตตัวเองว่ามีความเชี่ยวชาญพิเศษในการนำทัวร์สะบึมก้นเด็กผู้ชายในเมืองไทย
ที่น่าแปลกใจอีกข้อหนึ่งของเวลส์ก็คือ นี่ไม่ใช่ ครั้งแรกที่เขาถูกจับเข้าคุกข้อหาสะบึมก้นเด็กผู้ชาย เมื่อ 16 ปีก่อน ในปี 1996 ตอนที่เวลส์อยู่ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียนั้น เขาเคยติดคุกมาแล้ว 7 ปี เพราะในปี 1989-1996 เขาสร้างภาพเป็นชายหนุ่มใจบุญที่แสนจะรักเด็ก ผู้ไปเยี่ยมเด็กในสถานเด็กกำพร้าในเมลเบิร์นเป็นประจำ แต่สุดท้ายก็โดนจับได้ เนื่องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมลเบิร์นนั้นเริ่มสังเกตได้ว่าเวลส์นั้นรักเด็กไม่เท่าเทียมกัน จะไม่ค่อยรักเด็กกำพร้าสาวๆ เท่าไหร่ แต่จะให้ความรักเป็นพิเศษกับเด็กกำพร้าหนุ่มๆ เท่านั้น เด็กหนุ่มคนไหน ที่เวลส์รักเป็นพิเศษก็จะได้รับของขวัญที่เวลส์ซื้อมาฝากบ่อยๆ และแล้วเวลส์จะขอตัวเด็กคนนั้นไปเที่ยวสวนสนุก พาไปนั่งรถไฟเหาะ เรือไวกิ้ง นั่งชิงช้าสวรรค์กับเขา ตาม ที่เด็กต้องการ แต่การแสดงความรักของเวลส์ไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาแสดงความรักขั้นสูงสุดกับเด็กหนุ่มเหล่านั้นด้วย การพาพวกเขามาเที่ยวบ้านแล้วลากขึ้นเตียงสะบึมซะเลย จึงถูกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแจ้งตำรวจจับไปตามระเบียบ
ด้วยความวิปริตในกมลสันดาน การติดคุก 7 ปี ไม่ทำให้เวลส์เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย พอออกมาจากคุกได้ ก่อนอื่นก็ต้องย้ายประเทศก่อน เพราะชื่อเสียงตัวเองในออสเตรเลียเน่าเฟะไปแล้ว จึงกลับมาทำงานในนิวซีแลนด์ ซึ่งเขาทำงานถึง 4 งาน โดยงานประจำคือเป็นผู้จัดการโรงแรม ยังมีงานอดิเรกคือการเป็นเซลส์ขายบ้าน เป็นนักดนตรีเครื่องเป่าในวง Wanganui Brass Band แถมยังเป็นนักร้องโอเปร่าที่เคยขึ้นเวทีแสดงในละครเพลงในนิวซีแลนด์ด้วย คนที่เคยดูเขาแสดงบนเวทีต่างพูดเป็นเสียง เดียวกันว่าเสียงของเขาเพราะมาก เขายังเคยเสนอความคิดที่จะจัดละครเพลงที่แสดงโดยเด็กล้วนๆ ให้เจ้าของโรงละครฟังด้วย แต่โชคดีของเด็กๆ เหล่านั้นที่เจ้าของโรงละครรู้สึกได้ด้วยสัมผัสที่ 6 ว่านายคนนี้มีอะไรแปลกๆ จึงไม่เลือกเขาเป็นผู้กำกับในละครเพลงชุดนั้น เลือกคนอื่น แทน ถือว่าตัดสินใจได้ถูกต้องไม่งั้นเวลส์คงมีโอกาสขณะที่เขาฝึกสอนเด็กเหล่านี้ ในการแสดงความรักขั้นสูงสุดใส่พวกเด็กๆ เป็นแน่แท้
หากท่านผู้อ่านคิดว่าการที่เวลส์ถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้เด็กในประเทศนิวซีแลนด์จะทำให้เขาย่อท้อต่ออุปสรรค ขอบอกว่าท่านเข้าใจผิด เพราะเวลส์เป็นคนที่มีความวิปริตเกินพิกัด นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งเขาจากการสะบึมก้นเด็กผู้ชายได้ ฉะนั้นในปี 2007 เวลส์จึงได้เปิดเว็บไซต์นำทัวร์ โดยตัวเองเป็นทั้งเจ้าของทัวร์และเป็นไกด์นำทัวร์ด้วย ชำนาญเฉพาะทาง ในด้านเซ็กซ์ทัวร์สะบึมก้นเด็กผู้ชายในประเทศไทย ซึ่งผม ขอเดาว่าเวลส์เองก็คงใช้เวลา 4 ปี ระหว่างปี 2003-2007 เดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นประจำ เพื่อมาประกอบกิจกามวิปริตของเขาน่ะแหละ จนรู้ทะลุปรุโปร่งสามารถจัดโปรแกรมสะบึมเด็ก 7 วัน 7 เล้าไม่มีซ้ำในเมืองไทยให้ลูกค้าได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลส์เคยได้บริการลูกค้านิวซีแลนด์ไปแล้วกี่คน และผมว่าเราก็คงจะไม่มีวันรู้ เพราะคงไม่มีลูกค้าเก่าคนไหนของเวลส์ออกมาแสดงตัวให้ตัวเองติดคุกซะเองแน่นอน
หลังจากเว็บไซต์นี้เปิดมา 3 ปี ในปี 2010 ทางการเกิดรู้เรื่องบริษัททัวร์อุบาทว์ของเวลส์ จึงวางแผนจับเวลส์ ด้วยปฏิบัติการลับสุดยอดชื่อ “Operation Monndance” ซึ่งแปลว่าปฏิบัติการอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า ปฏิบัติการนี้จริงๆ ก็ไม่มีอะไร มากแค่นายตำรวจคนหนึ่งแกล้งเนียนทำเป็นลูกค้า ขอให้เวลส์เป็นไกด์นำทัวร์ไปสะบึมเด็กผู้ชายที่เมืองไทย เวลส์ด้วยความกระตือรือร้นที่จะได้บริการลูกค้าจึงเอา โปรแกรมทัวร์มาเสนอให้ตำรวจคนนั้นเห็นและอธิบาย อย่างละเอียด ว่าเล้านี้เป็นอย่างนั้น เล้านั้นเป็นอย่างนี้ แถมตอนเวลาจองโรงแรมนายตำรวจคนนี้ก็แกล้งถามเวลส์ว่า ทำไมพักโรงแรมนี้ล่ะ อยากพักโรงแรมนั้น แทนเวลส์รีบพูดอย่างคล่องแคล่วแบบคนมีประสบการณ์ โชกโชนว่า โรงแรมนั้นไม่อนุญาตให้ลูกค้าพาเด็กหนุ่มๆ 13-14 ขึ้นห้อง โรงแรมที่เขาเลือกนี่แหละไม่เคยมีปัญหา เลย พักที่นี่ดีที่สุดแล้ว เชื่อเขาเถอะ นายตำรวจคนนั้น เลยตกลงจ่ายเงินค่าทัวร์ให้เวลส์ ซึ่งเวลส์ก็ทำเรื่องจอง ตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมให้ ทำโปรแกรมทัวร์ให้เสร็จ สรรพ จึงกลายเป็นหลักฐานแน่นหนาให้ตำรวจตั้งข้อหาเวลส์ในการทำธุรกิจจัดทัวร์สะบึมเด็ก โดนศาลตัดสินจำคุกไปตามระเบียบ
คดีเวลส์นี้ผมอ่านตอนแรกก็โกรธมาก เพราะตัวเองชอบทำอุจาดยังไม่พอ แต่มาทำอุจาดกับคนไทย ในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ผมเกิดอีก แต่หลังจาก ผมอารมณ์ดีขึ้นก็เริ่มคิดว่า แล้วทำไมประเทศไทยถึงเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับพวกฝรั่งวิปริตเดินทางมาซื้อบริการโสเภณีเด็กกันมากมายขนาดนี้ ทางการไม่เคยคิดจะจับอย่างนั้นหรือ ยิ่งหาข้อมูลมากขึ้นๆ เท่าไหร่ โดยเฉพาะงานวิจัยเรื่องโสเภณีเด็กของภานุพงษ์ ชุ่มชื่น1 ที่ผมเจอจากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผมยิ่งรู้ว่าไม่ใช่ทางการไม่คิดจะจับ แต่จำนวนโสเภณีเด็กนั้นเยอะมาก จับอย่างไรก็ไม่หมด ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือมีเด็กจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกล่อลวงมาขายตัว หรือไม่ได้ถูกพ่อแม่ขายให้พ่อเล้าแม่เล้า แต่พวกเขาตัดสินใจทำอาชีพนี้ด้วยความสมัครใจด้วยเหตุผลหลัก คือไม่มีเงิน ไม่มีความรู้ ยากจน ถ้าไม่ทำงานนี้ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ผมถึงรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงของปัญหาโสเภณีในประเทศไทยเกิดจากการที่ไม่มีนโยบายบังคับ ให้เด็กอายุไม่ถึง 18 ปี ต้องเรียนจนจบ ม.6 ไม่มีระบบสวัสดิการให้เด็กกู้เงินรัฐเรียนมหาวิทยาลัยและรัฐไม่มีการจ่ายค่ากินค่าอยู่ขณะเรียนมหาวิทยาลัยให้เด็กที่พ่อแม่มีรายได้น้อย ทำให้เด็กไทยจำนวนมากไม่มีความรู้พอที่จะทำงานธรรมดาหลังจบมัธยมศึกษา ไม่มีความพร้อมที่จะเรียนมหาวิทยาลัย และไม่กล้าคิดต่อ มหาวิทยาลัย ถ้าไม่มีเงิน ไม่มีอะไรทำ ไม่มีเงินก็ไม่มีทาง เลือกอื่นนอกจากมาเป็นโสเภณี ซึ่งถ้ายังไม่แก้ไขปัญหาตรงนี้ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาโสเภณีเด็กในประเทศไทยได้
ฉะนั้นวิธีการแก้ปัญหาโสเภณีเด็กที่ตรงจุดที่สุดของประเทศไทยคือ รัฐบาลต้องเปลี่ยนระบบการจัดงบประมาณเสียใหม่ อย่าเอางบประมาณประเทศชาติไปทำอะไรเพื่อคนไม่กี่กลุ่มในประเทศชาติ แต่จะต้องทำเหมือน กับที่ประเทศพัฒนาแล้วทำ คือเอางบประมาณมาลงทุนกับประชาชนตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็ก ออกกฎหมายบังคับว่าเด็กที่อายุไม่ถึง 18 ปีทุกคน จะต้องเรียนจนจบมัธยม 6 ไม่อย่างนั้นก็ยังเลิกไปโรงเรียนไม่ได้ หากว่าครอบครัวไหน ที่ยากจนไม่มีเงินส่งลูกเรียนจนจบมัธยม 6 รัฐบาลต้องมีเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวนั้น เพื่อช่วยเหลือให้พ่อแม่ส่ง ลูกๆ ทุกคนเรียนจบมัธยมให้ได้ เมื่อพวกเขาเรียนจบมัธยมแล้ว เขาจะได้มีการศึกษาพอที่จะพร้อมทำงานเต็มเวลาในบริษัทห้างร้านได้ หรือหากเขาอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพื่อจะได้หางานที่มีเกียรติทำ รัฐบาลจะต้องอนุญาตให้เด็กที่พ่อแม่มีรายได้น้อยกู้เงินรัฐเรียนมหาวิทยาลัย มีค่ากินค่าอยู่ให้พวกเขาทุกอาทิตย์ จนกว่าพวกเขาจะเรียนจบมหาวิทยาลัย
เมื่อมีการศึกษา ทางเลือกในชีวิตก็จะมากขึ้นและ ไม่มีทางที่จะมาเลือกทำอาชีพโสเภณี แต่จะเลือกทำงานที่ดีที่สุดเท่าที่ความรู้ของเขาจะหาได้ โสเภณีก็จะค่อยๆ หมดไปจากประเทศไทยและเราจะมีปัญญาชนที่มีคุณภาพ จำนวนมากมาแทน
1 ภานุพงษ์ ชุ่มชื่น, “โสเภณีเด็ก: กรณีศึกษาเมืองพัทยา” (2548), มหาวิทยาลัยบูรพา,
http://tea.gspa-buu.net/library/is/mpa47/47932960.pdf