วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > New&Trend > กลุ่มโคคา-โคลาขยายการผลิต พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่

กลุ่มโคคา-โคลาขยายการผลิต พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ เตรียมเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาด เดินหน้าขยายกำลังผลิตเพิ่ม
ในปีนี้ โดยเปิดสายการผลิตใหม่ 4 สายพร้อม เปิดโรงงานใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง ดัน“โค้ก” ติดลมบนด้วยแคมเปญการตลาดยิ่งใหญ่ต้อนรับหน้าร้อน – เปิดตัววงโปเตโต้และโจอี้ บอย เป็นแบรนด์
แอมบาสเดอร์ใหม่

กลุ่มธุรกิจโคคา- โคลา ในประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) พันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่าย
ได้เปิดเผยถึง อัตราการเติบโตของยอดขายของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
ที่ 23% ในปี 2555 พร้อมเปิดเผยงบลงทุนถึง 4,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในปีนี้ โดย
จะมีการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่สุราษฎร์ธานี ของบมจ.หาดทิพย์ซึ่งจะพร้อมเดินเครื่องในเดือนเมษายน
นี้ในขณะที่บจ. ไทยน้ำทิพย์ เตรียมติดตั้งอีกสี่สายการผลิตใหม่ในโรงงานต่างๆซึ่งหนึ่งในนั้นพร้อมใช้งาน
ในเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป

มร. แอนโตนิโอ เดล โรซาริโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย)จำกัด
กล่าวว่า “การลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยขึ้นอีกประมาณ 35% รวมถึงจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโคคา- โคลาฯในฐานะผู้นำ
ในธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าสานต่อพันธกิจระยะยาว ที่สำคัญในเมืองไทยของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯ ปัจจุบันประเทศไทยนับเป็นตลาดที่แบรนด์
โค้กมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2ของโคคา-โคลาทั่วโลก”

พรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า “จากยอดขายและ
การเติบโตเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2555 ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลมของ
กลุ่มธุรกิจโคคา- โคลา ในประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งตลาด 55.5% รวมถึงความเป็นผู้นำในตลาดน้ำ
ผลไม้พร้อมดื่ม ณเดือนมกราคม2556 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ 16.5%”

“กลุ่มธุรกิจโคคา- โคลาฯ โดยรวมได้ลงทุนในเทคโนโลยีล่าสุดรวมถึงสายการผลิตที่ผลิตไ
ด้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมช่วยให้เรามีศักยภาพรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และ
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ปรับเปลี่ยนแบบไม่หยุดนิ่งของผู้บริโภค
ควบคู่ไปกับการต่อยอดความมุ่งมั่นของเราในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

“ในเดือนมีนาคม นี้ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จะเปิดสายการผลิตใหม่ที่มี ความเร็วสูงระดับซูเปอร์
ไฮสปีดที่โรงงานในรังสิตเพื่อผลิตเครื่องดื่มอัดลมซึ่งช่วยให้เราพร้อมรองรับความต้องการด้านการ
บริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนภายในปีนี้ไทยน้ำทิพย์จะเดินเครื่องสายการผลิต เพิ่มอีกสามสาย
ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มอัดลมและเครื่องดื่มไม่อัดลมของบริษัท ได้เพิ่มมากขึ้น
โดยสายการผลิตทั้งสี่สาย ใช้เงินลงทุนติดตั้งประมาณ2,600ล้านบาท เมื่อหลายปีทีผ่านมา ได้มี
การลงทุนมหาศาลในการปรับปรุงซัพพลายเชน และเพิ่มขีดความสามารถในการกระจายสินค้า
เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จคือการให้ควา มมั่นใจกับลูกค้า
ว่า สินค้าของเราจะอยู่ในที่ที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมและในคุณภาพที่เป็น ที่ต้องการเรามุ่งเน้น
นวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนด้านลอจิสติกส์และ เพิ่มกำไร
ให้กับร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ของเรา”

“เราได้ปรับเปลี่ยนระบบการขายจากแบบเร่ขายดั้งเดิมไปสู่รูปแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการกระจายสินค้า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาระบบลอจิสติคส์รวมถึงการใช้งานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 50% พร้อมกับ ลดความสูญเปล่าด้านพลังงานและทรัพยากร ปัจจุบัน
สามารถขายสินค้าได้ถึง99% ของเครื่องดื่มทั้งหมดทีโหลดขึ้นรถเพื่อไปส่งร้านค้า โดยเพิ่มขึ้น
จากเดิมที่ 65% ในปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีการจัดระบบการ ทำงานใหม่ สามารถ
รับคำสั่งซื้อได้ก่อนที่สินค้าจะถูกโหลดขึ้นรถและนำไปส่งยังร้านค้าซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนค่าขนส่ง
และมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการสูญเปล่าด้านการขนส่งสินค้าในการออกวิ่งรถ แต่ละครั้งและลูกค้าก็ได้รับ
สินค้าตามที่ต้องการ” พรวุฒิกล่าว

“นอกจากนี้ เราได้เพิ่มจำนวนพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายลอจิสติกส์ ฝ่าย ผลิตฝ่ายกระจายสินค้า
และบริการลูกค้ารวม 500 คน รวมถึงเพิ่มความสามารถของศูนย์บริการลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัดในปีที่ผ่านมาพนักงานบริการลูกค้าของเราใช้เวลาอยู่กับลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 60% ของ
เวลาการทำงานทั้งหมด จากเดิมที่ใช้เวลาเพียง25% ซึ่ง สองปีที่ผ่านมา เวลาของพนักงานบริการ
ลูกค้าได้ถูกใช้ไปกับการเดินทางและ การประชุมของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ ทำให้โอกาสในการใช้
เวลากับลูกค้ามีน้อย ดังนั้นการที่เราริเริ่มรูปแบบใหม่ในการบริการและทำงานกับร้านค้าทั้งหมดดัง
กล่าวก็เพื่อให้เราสามารถบรรลุยังเป้าหมายตามแผนที่เราได้วางไว้ ในการก้าวขึ้นมามีเป็นพันธมิตรทาง
ธุรกิจที่ลูกค้าอยากจะทำงานด้วยมากที่สุด”

มร. เดล โรซาริโอ กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทยถือเป็นกลุ่มธุรกิจรายเดีย
วในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ ที่เป็นการผสานความแข็งแกร่งของตราสินค้าที่มีมล
ค่าสูงที่สุดในโลกของเดอะโคคา-โคลา คอมปะนี เข้ากับขีดความสามารถระดับสุดยอดในการผลิต
และจัดจำหน่ายของวงการในประเทศไทย คือ ไทยน้ำทิพย์และหาดทิพย์เพื่อให้การบริการลูกค้า ร้านค้า และสนองตอบต่อความต้องการของผู้บริโภค”

“กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยรวมของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯคือ ความเป็นเลิศในการมอบความสดชื่นแก่คนไทยด้วยการเป็นบริษัทเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ที่โดดเด่นและมีสินค้าในตลาดครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้ได้มากที่สุด คือ ทั้งเครื่องดื่มที่มอบความซ่าสดชื่น น้ำผลไม้พร้อม
ดื่มและน้ำดื่มบริสุทธิ์ รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่สูงด้วยคุณภาพต่างๆปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทยมีวางจำหน่ายเครื่องดื่มรวม 9 ตราสินค้า โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าดังกล่าวมากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์เฉพาะแบรนด์น้ำอัดลมของเราเพียงอย่างเดียวก็มีมากกว่า 20ขนาดบรรจุ ซึ่งนับว่ามากและหลากหลายที่สุดในตลาดเลยทีเดียว

“กลยุทธ์ทางธุรกิจของเราก็คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่เป็นที่ชื่นชอบของ
ผู้บริโภคไปพร้อมๆกับการขยายตลาดเครื่องดื่มไม่อัดลมของเราให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้า
หมายวิสัยทัศน์ระดับโลกของ เดอะ โคคา-โคลาคอมปะนี ที่จะขยายธุรกิจทั่วโลกของเราให้โตขึ้นสอ
งเท่าภายในปี2020 (หรือ พ.ศ. 2563)” มร. เดล โรซาริโอ กล่าวเสริม

“ กลยุทธ์การตลาดในปี2556 ของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯส่วนหนึ่งก็คือเราจะลงทุนด้านการ
ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างให้แบรนด์สินค้าของเราสามารถที่จะเชื่อมโยงเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่ง
ๆขึ้นไปพร้อมกับการขับเคลื่อนนวัตกรรมการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์แคมเปญฤดูร้อนประจำปีนี้
แบรนด์แอมบาสเดอร์ทีมใหม่ คือ วงป๊อปร็อคแถวหน้าของเมืองไทย คือ ‘วงโปเตโต้’ และนักร้อง/ โปรดิวเซอร์เพลงแนวฮิปฮอปชื่อดัง ‘โจอี้ บอย’ โดยเราได้เตรียมกิจกรรมการตลาดที่จะทยอย
ปล่อย ออกมาในระยะสามเดือนข้างหน้าเริ่มจากกิจกรรมปูพรมทั่วประเทศต้อนรับเทศกาลสงกรานต์”
มร. เดล โรซาริโอ กล่าว

พลตรีพัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท หาดทิพย์(มหาชน) จำกัด กล่าวว่า
“เราลงทุนไปกับโรงงานผลิตเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตของเราเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เพื่อพร้อมรองรับกับพัฒนาการด้านการกระจายสินค้านวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และความสำเร็จของแคมเปญการตลาดของเรา ในเดือนเมษายนนี้ บมจ.หาดทิพย์พร้อมที่จะเปิดโรงงานใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วยงบลงทุนกว่า1,400 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมบรรจุขวดเพ็ท(PET)ของหาดทิพย์ขึ้นอีกสามเท่าตัวยิ่งไปกว่านั้นโรงงานใหม่ดังกล่าวยังสามารถรองรับการผลิต
เครื่องดื่มไม่อัดลมในอนาคตอีกด้วย”

“นอกจากนี้เรายังเดินหน้าลงทุนในโครงการเพื่อความยั่งยืนของเราอย่างต่อเนื่องโดยเน้นเรื่องการอนุรักษ์น้ำ บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและกิจกรรมเพื่อชุมชน ซึ่งในปี 2556 นี้เรามีแผนที่
จะลงทุนกว่า50ล้านบาทในโครงการเพื่อความยั่งยืนร่วมกับเครือข่ายองค์กรพันธมิตรต่างๆ ของเรา”
พลตรีพัชร กล่าว

“กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทยภูมิใจอย่างยิ่งที่โครงการรักน้ำของเราเป็นหนึ่งในโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำชุมชนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาโครงการของกลุ่มธุรกิจ โคคา-โคลาทั้งหมดในทวีปเอเชียปัจจุบันเราประสบความสำเร็จในการ ‘สร้างสมดุลน้ำเชิงบวก’ซึ่งหมายถึงว่า โครงการต่างๆ ของเราสามารถคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติในปริมาณที่มากกว่าที่เราใช้ในผลิตภัณฑ์และในกระบวนการผลิต” พลตรีพัชร กล่าวเพิ่มเติม

“จุดเด่นอื่นๆในโครงการเพื่อความยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาฯได้แก่ โครงการส่งเสริมสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มกีฬาฟุตบอลแ ละจักรยานโครงการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนผ่านกิจกรรม
น้ำทิพย์คิดมาเพื่อโลกและโครงการเพื่อชุมชน ได้แก่โครงการ-อาสาสมัครพลังบวก”
………………………………………………

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยคือผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในประเทศ
ไทย นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วยส่วนแบ่งตลาด 55.5%ณ สิ้นปี 2555
โดยได้เดินหน้าเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดน้ำอัดลมมาอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ส่วนแบ่งตลาดของกลุ่ม
ธุรกิจโคคา-โคลาฯ ในรอบ 12เดือนที่ผ่านมาได้เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5จุด และเติบโตรวม8 จุดเมื่อนับรวใน
รอบ24เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทยยังเป็นผู้นำในตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม
ของไทยด้วยส่วนแบ่งตลาด 16.5% ณ เดือนมกราคม 2556 ในปี 2555ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมของ
ไทยมีมูลค่าประมาณ44,000 ล้านบาทในขณะที่ตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์โดยรวมมีมูลค่าประมาณ 169,000ล้านบาท [ที่มา: นีลเสน]

###

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทย ประกอบด้วย บริษัทโคคา-โคลา(ประเทศไทย) จำกัด
ในฐานะเจ้าของแบรนด์รับผิดชอบในกิจกรรมการตลาดและสองบริษัทพันธมิตรผู้ผลิตและจำหน่าย
– บจ. ไทยน้ำทิพย์ รับผิดชอบ 63จังหวัดทั่วประเทศ และบมจ. หาดทิพย์รับผิดชอบใน 14 จังหวัด
ภาคใต้

กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทยเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ทั่วประเทศนอกจากโคคา-โคลาซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกแล้วผลิตภัณฑ์ในพอร์ตโฟลิโอของกลุ่ม
ธุรกิจโคคา-โคลาในประเทศไทย ได้แก่ โค้ก, โค้ก ซีโร่, โค้ก ไลท์, แฟนต้า,สไปร์ท, ชเวปปส์,รูทเบียร์
เอแอนด์ดับบลิว รวมถึงน้ำส้มมินิทเมด สแปลช, มินิทเมด พัลพิ,มินิทเมด นิวทริบู๊สท์ และน้ำดื่มน้ำทิพย์