กลุ่มบริษัทอิตัลไทยตอกย้ำกลยุทธ์องค์กรที่ยืดหยุ่น ฉับไว รับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ มุ่งเน้นสองกลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ในระดับแนวหน้าของประเทศไทย
– ตั้งเป้ารายได้ปี 2560 รวม 17,200 ล้านบาท เติบโต 16% จากปีที่ผ่านมา
– เกาะติดเทรนด์นโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการท่องเที่ยว
– รุกขยายฐานต่อเนื่องจากไทยสู่ประเทศต่างๆ ในเอเชีย
ยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอิตัลไทย เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพและแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น กลุ่มบริษัทอิตัลไทยจึงจัดกระบวนทัพเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเสริมความพร้อมรุกตลาดในประเทศและเดินหน้ามุ่งสู่ภูมิภาคเอเชีย ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 17,200 ล้านบาท เติบโต 16% จากปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้ของอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร 9,721 ล้านบาท คิดเป็น 56% และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ 7,477 ล้านบาท คิดเป็น 44 %
บริหารงานโดย บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังบริการกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนัก ขายเครื่องจักรกลหนักหลากหลายแบรนด์ระดับโลก โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา เพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการใช้งานของลูกค้าในแต่ละธุรกิจ ทั้งในด้านคุณภาพ ราคา และเข้าถึงลูกค้าด้วยศูนย์ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน คือ สปป. ลาว ภายใต้ชื่อ อิตัลไทย เซ็นเตอร์
สำหรับปีนี้ บริษัทฯ ชูกลยุทธ์ความเป็น Solution Provider โดยมี “ลูกค้าเป็นศูนย์กลางและมุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละเซกเมนต์เป็นการเพิ่มคุณค่า และรักษาฐานลูกค้า โดยเน้นที่กลุ่มลูกค้าหลัก 2 กลุ่มคือ (1) กลุ่มงานเหมืองและโรงโม่หิน ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำสำหรับงานก่อสร้างตึกอาคารและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายภาครัฐที่กำลังเร่งพัฒนา ปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจนี้กว่า 300 แห่งทั่วประเทศ (2) กลุ่มงานถนน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของภาครัฐในการเชื่อมต่อโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อเสริมศักยภาพการขนส่ง ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณพื้นที่อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
โดยทั้ง 2 กลุ่มลูกค้านี้ ทีมขายจะให้คำแนะนำและคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับ Application งานต่างๆ และงบประมาณของลูกค้าเป็นหลัก โดยบริษัทฯ มีหลากหลายแบรนด์ที่เหมาะสมกับงานแต่ละประเภทไว้ค่อยให้บริการ
ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายแบรนด์ Volvo, SDLG, Youtong รถบรรทุกสำหรับงานเหมือง, Doosan เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและลม, Powerscreen, Robit, Atlas Copco, Tadano Mobile Crane
ทั้งนี้ บริษัทฯ เน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบการเป็นพันธมิตรกับลูกค้า (Partner) เพื่อให้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า สนับสนุน และตอบสนองให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมุ่งเน้นการบริการ (Services Excellence) เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจและเกิดความมั่นคงในธุรกิจ (Reliability) เพื่อเสริมศักยภาพในความเป็น Solution Provider อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษ CAC หรือ Customer Assistance Center เพื่อทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานบริการ และเพื่อการบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ โดยมีหน้าที่ติดต่อแจ้งข้อมูลการบริการ ติดตามงานซ่อม ให้ข้อมูลด้านการตลาดและโปรโมชั่นให้กับลูกค้าตลอดกระบวนการ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
และด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์คุณภาพและการบริการ บริษัทฯ จึงได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตร และคู่ค้าทางธุรกิจให้มีส่วนร่วมสนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมากมาย โดยมีเป้าหมายรายได้กว่า 4,300 ล้านบาท
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร บริหารงานโดย บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด ดำเนินธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับโครงการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าและสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทั้งภายในและต่างประเทศ โดยปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นความสำคัญเรื่อง Operation Excellence หรือมาตรฐานในการปฏิบัติงานมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทใช้มาตรฐาน ISO9001 : 2008 ในปีนี้ บริษัทฯ ได้รับ ISO 9001 : 2015 ซึ่งเป็น ISO เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด นับได้ว่าเป็นบริษัทก่อสร้างอันดับต้นๆ ที่ได้รับการรับรอง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการรับรอง ISO14001 : 2015 และ OHSAS18001 : 2007 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานด้านชีวอนามัย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพันธสัญญาในการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานสากล โดยให้ความสำคัญในด้านคุณภาพของงาน สิ่งแวดล้อม และชีวอนามัยอย่างสูงสูด
ล่าสุด บริษัทฯ ขยายธุรกิจและการลงทุนในสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เลือกลงทุนในพม่าเพราะพม่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทั้งในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติและจำนวนประชากร การเปิดประเทศจึงเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจก่อสร้าง และจากการที่บริษัทฯ เข้าไปศึกษาตลาด พบว่า ตลาดก่อสร้างในพม่ามีความต้องการด้านงานระบบที่มีมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ที่สามารถเข้าไปสร้างความเติบโตของตลาดก่อสร้างในพม่าได้ โดยจะมุ่งเน้นที่งานระบบสาธารณูปโภคประกอบอาคาร ระบบสาธารณูปโภคโรงงานและโรงงานอุตสาหกรรม และงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
ผลงานที่ผ่านมา บริษัทสามารถก่อสร้างและจำหน่ายไฟเข้าระบบภายในกำหนดเวลาสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนกว่า 100 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมชัยภูมิ กำลังการผลิต 80 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการ กำลังการผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ ขณะนี้ยังมีโครงการในประเทศที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ 7 โครงการใหญ่ ตั้งเป้าหมายรายได้กว่า 5,300 ล้านบาท
ในด้านกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2559 ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยกว่า 32.5 ล้านคน กอปรกับนโยบายของภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น และมีการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก 1.2 พันล้านคน ส่งผลดีต่อภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ของอิตัลไทย ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและเดินหน้ารุกขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศสู่ภูมิภาคเอเชีย มีเป้าหมายรายได้กว่า 4,100 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10%
โดยออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการโรงแรมขนาดกลางที่ดีที่สุดในเอเชีย ได้ตั้งแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจระยะที่ 2 ภายใต้ชื่อ “Delivering Success” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นขยายเครือข่ายไปยังประเทศต่างๆ ให้ได้ไม่น้อยกว่า 99 แห่ง และมีกำหนดเปิดให้บริการภายในปี พ.ศ.2567 โดยจะรุกสู่ตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง (C+ ขึ้นไป) มีการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชีย
ปัจจุบันออนิกซ์ฯ มีสัดส่วนจำนวนเครือข่ายที่มีอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศ อยู่ที่ 50 : 50 และคาดว่าสัดส่วนนี้จะเปลี่ยนเป็น 30 : 70 ภายในปี พ.ศ.2561 สำหรับสัดส่วนรายได้ปัจจุบันจากเครือข่ายออนิกซ์ฯ ในประเทศไทยและต่างประเทศคิดเป็น 70 : 30 โดยเป็นรายได้จากลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เครือออนิกซ์ฯ ทั้งในและต่างประเทศระหว่างเดือนมกราคม–ธันวาคม พ.ศ.2559 จากทุกมุมโลก โดยมีลูกค้าจากตลาดไทยและจีน เป็น 2ตลาดหลัก ตามด้วยอินเดีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และทางบริษัทฯ คาดว่าภายในปี พ.ศ.2561 สัดส่วนรายได้จากเครือข่ายในประเทศไทย และต่างประเทศจะเปลี่ยนเป็น 60 : 40
สำหรับโครงการที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี พ.ศ.2560 ได้แก่ อมารี ยะโฮร์ บาห์รู (มาเลเซีย) อมารี วังเวียง (ลาว) อมารี หยางซั่ว (จีน) อมารี กอลล์ (ศรีลังกา) โอโซ่ ฮอยอัน (เวียดนาม) ชามา ไอส์แลนด์ นอร์ธ ฮ่องกง และชามา เซียงหนานลี่ เฉิงตู (จีน) ซึ่งการเปิดให้บริการโรงแรมดังกล่าวนับเป็นการเข้าไปทำธุรกิจครั้งแรกของออนิกซ์ฯ ในเวียดนาม มาเลเซีย และลาว อีกด้วย
ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป มีเครือข่ายที่เปิดให้บริการแล้ว 42 แห่ง ประกอบด้วย ห้องพักจำนวน 6,622 ห้อง ใน 7 ประเทศ (รวมถึงเขตบริหารพิเศษ) ได้แก่ ไทย จีน ฮ่องกง ศรีลังกา มัลดีฟส์ บังกลาเทศ และกาตาร์ และมีโครงการที่อยู่ภายใต้การพัฒนาอีก 25 แห่ง ซึ่งมีกำหนดทยอยเปิดให้บริการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ยุทธชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัท อิตัลไทยฮอสพิทาลิตี้ จำกัด อีกหนึ่งธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทย ที่มีการเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ได้ดำเนินกลยุทธ์การควบรวมธุรกิจเครื่องดื่ม โดยการเข้าบริหารอย่างเต็มรูปแบบให้กับทุกแบรนด์เครื่องดื่มที่อยู่ภายใต้กลุ่มอิตัลไทย ในปีนี้เน้นบทบาทการเป็น F&B Solution Provider มุ่งกลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร (HORECA) ทั่วประเทศ เพื่อเสริมศักยภาพประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเป็นระบบ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
ปัจจุบันบริษัทฯ จำหน่ายเครื่องดื่มและไวน์ระดับพรีเมียมจากหลายประเทศทั่วโลก นํ้าแร่เปอริเอ (Perrier) นํ้าแร่วิทเทล (Vittel) และแชมเปญดูวาล-เลอรัว (Duval Leroy) และเป็นผู้บริหารธุรกิจแฟรนไชส์ แบรนด์ชา ทีดับเบิลยูจีที (TWG Tea) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ทีมงานผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ความต้องการผลิตภัณฑ์ลูกค้าตามลักษณะและขนาดของธุรกิจ แล้วจึงนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการตอบสนองต่อความต้องการนั้น การทำงานจะเน้นความเป็นพันธมิตร คู่ค้า ลูกค้าในธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ซึ่งปัจจุบันมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เพื่อตอบรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจากทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าหมายรายได้ 230 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 65% อันเป็นผลจากการควบรวมธุรกิจ
ยุทธชัยกล่าวเสริมว่า ศูนย์การค้าริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อก เป็นศูนย์กลางศิลปะและโบราณวัตถุหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย (ASIA’S Premier Arts and Antique Shopping Destination) ในปี 2560 ริเวอร์ ซิตี้ แบงค็อกจะเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เจ้าของธุรกิจ นักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว และเสริมกลุ่มสินค้าด้านงานศิลปะและวัตถุโบราณระดับบน ด้วยงานศิลปะในระดับราคาที่สามารถซื้อได้ และจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรและใช้ช่องทางสื่อสารออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และความประทับใจให้ผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะและโบราณวัตถุ
“อิตัลไทยเชื่อมั่นในประสบการณ์ ทีมงาน และบุคลากร ในกลุ่มบริษัทฯ ทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลหนักและรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ การบริการที่เป็นเลิศ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของพันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า โดยพัฒนาศักยภาพทีมงานและกลยุทธ์ธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ นับเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศสู่ภูมิภาคเอเชีย” ยุทธชัยกล่าว