2 ยักษ์ใหญ่ “ไทยเบฟเวอเรจ” หรือ “ช้าง” และ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” กำลังเร่งสยายปีกเจาะธุรกิจอาหาร เพื่อสร้างการเติบโตนอกเหนือจากกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งแนวรบตลาดในประเทศไทยและวางโรดแมพพุ่งเป้าช่วงชิงส่วนแบ่งในภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย นับมูลค่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.2559) มียอดขายรวม 100,625 ล้านบาท เติบโต 18.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มียอดขาย 84,697 ล้านบาท กำไรสุทธิ 14,482 ล้านบาท เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,481 ล้านบาท โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากภาระขาดทุนลดลงจากธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์
เฉพาะธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์มียอดขาย 9,154 ล้านบาท เติบโต 8% ซึ่งถือเป็นปีแรกที่นำยอดขายของบริษัทใหม่ในเครือ คือ “ฟู้ด ออฟ เอเชีย” มารวมด้วย
นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด กล่าวว่า ฟู้ด ออฟ เอเชีย เกิดขึ้นเมื่อปี 2558 ตามวิสัยทัศน์ของฐาปน สิริวัฒนภักดี เพื่อรองรับการขยายอาณาจักรธุรกิจอาหารในเครือไทยเบฟอย่างเต็มรูปแบบ โดยแตกไลน์แบรนด์ใหม่ๆ ที่ตอบสนอง Hybrid consumers ซึ่งมีความต้องการที่หลากหลายตามไลฟ์สไตล์และโอกาสต่างๆ ในทุกช่วงเวลา นอกจากนี้ ยังเน้นการสร้างประสบการณ์ในการรับประทานอาหาร โดยพร้อมขยายตัวจากภูมิภาคอาเซียนไปสู่ตลาดเอเชีย
เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ฟู้ดออฟเอเชียเริ่มสร้างแบรนด์ร้านอาหารในเครือรวม 4 แบรนด์ ได้แก่ ร้านอาหารจีนสไตล์กวางตุ้ง “Man Fu Yuan (หม่าน ฟู่ หยวน)” ซึ่งนำมาจากภัตตาคาร หม่าน ฟู่ หยวน โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล สิงคโปร์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Fine Dining Experience with Authentic Chinese Cuisine โดยเปิดร้านแรกที่สโมสรราชพฤกษ์ในโครงการนอร์ธปาร์ค เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์
ร้านอาหาร So Asean Cafe & Restuarant คอนเซ็ปต์ The Destination of Asean Cusine พื้นที่ 400 ตารางเมตร เปิดสาขาแรกที่อาคารแสงโสม สำนักงานใหญ่ ไทยเบฟเวอเรจ
ร้านกาแฟ So Asean Coffee คอนเซ็ปต์ The Art Asean Coffee Through Unbeatable เปิดสาขาแรกที่ศูนย์ C asean อาคารไซเบอร์เวิลด์ ถ.รัชดาภิเษก และฟู้ดคอร์ทภายใต้แบรนด์ “Food Street” คอนเซ็ปต์ The Center of Variety and Popular Taste เปิดสาขาแรกในโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ “เดอะสตรีท” ย่านรัชดาภิเษก
ล่าสุด บริษัทจับมือร่วมทุนกับกลุ่มแม็กซิม กรุ๊ป ฮ่องกง เปิด บริษัท แมกซ์ เอเชีย จำกัด เพื่อบุกตลาดเค้กและเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์ “mx cakes & bakery” ซึ่งถือเป็นร้านเบเกอรี่อันดับ 1 จากฮ่องกงสู่ตลาดเมืองไทย โดยเปิดสาขาแรกในศูนย์การค้าสยามพารากอน และถือเป็นสาขาแรกในอาเซียนด้วย เบื้องต้นตั้งเป้าขยายสาขาทั่วประเทศไทย 80-100 สาขา ภายในปี 2563
นงนุชกล่าวว่า เครือไทยเบฟมีแผนขยายธุรกิจร้านอาหาร ทั้งสร้างแบรนด์เองและซื้อไลเซ่นส์แฟรนไชส์เข้ามาดำเนินกิจการ ทั้งการร่วมทุนและการรับสิทธิ์ ซึ่งการร่วมทุนกับแม็กซิม กรุ๊ป อาจมีความเป็นไปได้ที่จะนำเอาร้านอาหารอีกหลายแบรนด์ในเครือแม็กซิม กรุ๊ป เข้ามาเปิดบริการ เช่น ภัตตาคารแม็กซิม พาเลซ (Maxim’s Palace) ภัตตาคารอาหารจีนแบรนด์ เจด การ์เด้น (Jade Garden)
ส่วนแผนขยายสาขาร้านอาหารในเครือ เร็วๆ นี้จะเปิดร้านหม่าน ฟู่ หยวน สาขา 2 ที่ ดิ เอ็ม ควอเทียร์ และกำลังเจรจาเพื่อบริหารฟู้ดคอร์ทอีก 2-3 แห่ง รวมถึงการบริหารฟู้ดคอร์ทในห้างบิ๊กซี นอกจากนี้ มีแผนเข้าไปพัฒนาร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งในเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ โดยสร้างเรือใบสามเสาที่นำต้นแบบมาจากเรือรบหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ขนาดเท่าของจริงและจอดเทียบท่าเอเชียทีค พร้อมเปิดร้านอาหาร เพื่อสร้างอีกหนึ่งไฮไลต์ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ด้านค่าย “สิงห์” ล่าสุด ประกาศแผน 3 ปีนับจากนี้ ผลักดันสัดส่วนกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ เพิ่มเป็น 35% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% และเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ โครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครบวงจรในชื่อ “World Food Valley Thailand” พื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ใน อ.ไชโย จ.อ่างทอง ใช้งบลงทุนรวม 4,800 ล้านบาท โดยได้ความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยและผลักดันการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารให้ติดท็อปไฟว์ระดับโลกในอีก 20 ปีข้างหน้า
แน่นอนว่า ค่ายสิงห์คาดหวังทั้งผลประโยชน์ในฐานะการเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารขนาดใหญ่ แผนสร้างพันธมิตร และจำนวนลูกค้าใน World Food Valley Thailand ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารอย่างเต็มที่อยู่แล้ว จากปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจในเครือทั้งสิ้น 5 ขาหลัก ได้แก่ ธุรกิจแอลกอฮอล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง และธุรกิจอาหาร
ทั้งนี้ จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตั้งเป้าผลักดันรายได้จากปี 2559 อยู่ที่กว่า 1 แสนล้านบาท เป็น 2 แสนล้านบาทในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมี “ธุรกิจอาหาร” เป็นสปริงบอร์ดชิ้นสำคัญ
การรุกหนักของ 2 ยักษ์ใหญ่ ปลุกสมรภูมิจากศึกแอลกอฮอล์สู่สงครามนอนแอล จากที่แข่งขันร้อนแรงแล้ว นับจากนี้จะดุเดือดขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า