Column: From Paris
อองแวรส์ (Anvers) หรือแอนต์เวิร์พ (Antwerp) ในภาษาอังกฤษ เมืองค้าเพชรของเบลเยียมมีพิพิธภัณฑ์ Musée des beaux-arts จึงขอไปชม แล้วติดใจภาพเขียนหนึ่ง La vierge à l’enfant entourée des anges ของฌอง ฟูเกต์ (Jean Fouquet) ภาพพระแม่มารีกับพระเยซูน้อย เป็นภาพพระแม่มารีที่แหวกแนว ด้วยว่าเปิดถันข้างหนึ่ง อันที่จริงภาพนี้คือภาพอาแญส ซอเรล (Agnès Sorel) ที่เลื่องลือเรื่องความงามนั่นเอง
อาแญส ซอเรล เกิดในปี 1422 ในครอบครัวขุนนางเก่าของแคว้นปิการ์ดี (Picardie) ได้รับการศึกษาอบรมเพื่อเป็นข้าหลวงในราชินีอิซาแบลแห่งลอแรน (Isabelle de Lorraine) มเหสีของเรอเน ดองจู (René d’Anjou) ภายหลังได้เป็นสนมเอกของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 7 (Charles VII) ของฝรั่งเศส
ดุ๊กแห่งบูร์โกญ (Duc de Bourgogne) ร่วมกับกษัตริย์เฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ ด้วยความรู้เห็นของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 6 เดินทัพเข้าสู่ปารีส ชาร์ลส์ที่ 7 ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงอุปราช หลบหนีไปยังเมืองบูร์จส์ (Bourges) เฮนรีที่ 5 อภิเษกกับคาเธอรีนแห่งวาลัวส์ (Catherine de Valois) พระราชธิดาของชาร์ลส์ที่ 6 ซึ่งประกาศให้ราชสมบัติตกเป็นของเฮนรีที่ 5 และโอรสอันจะมี เมื่อเฮนรีที่ 5 สวรรคต บัลลังก์ฝรั่งเศสจึงตกแก่โอรสวัย 5 เดือน คือ เฮนรีที่ 6 เกิดเป็นสงคราม 100 ปีระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ และตำนานเกี่ยวกับฌาน ดาร์ก (Jeanne d’Arc) หรือโจน ออฟ อาร์ค (Joan of Ark) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งนำทัพต่อต้านอังกฤษ และนำชาร์ลส์ที่ 7 ไปประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสที่วิหารโนเทรอะ-ดามเมืองแรงส์ (Notre-Dame de Reims) ในปี 1429
ชาร์ลส์ที่ 7 อภิเษกสมรสกับมารี ดองจู (Marie d’Anjou) ทั้งคู่ได้มาพบกันที่เมืองตูลูซ (Toulouse) ชาร์ลส์ที่ 7 จึงมีโอกาสเห็นอาแญส ซอเรล และตกหลุมรักทันที ขณะนั้นมีพระชนมายุ 40 ชันษา และเฝ้าเพียรแสดงให้สาวเจ้ารู้ เป็นเวลานานกว่าอาแญส ซอเรลจะยอมรับสัมพันธ์
อาแญส ซอเรลเลื่องชื่อในด้านความงาม ประกอบกับรู้จักปรุงแต่งให้งามยิ่งขึ้น เธอมีผมสีทอง ผิวขาวผ่อง ใช้ครีมฟอกขาว รู้จักประทินยามเช้า และบำรุงผิวตอนกลางคืน แต่งหน้าด้วยการทาแป้งที่ทำจากกระดองปลาหมึกบดละเอียด ทาปากด้วยสีที่ได้จากดอกหญ้า coquelicot กันคิ้วโก่งและกันไรผมเพื่อให้หน้าผากกว้างรับกับนัยน์ตาโต ทรงผมยกสูง เธอเป็นผู้ยกเลิกผ้าคลุมหน้า สวมเสื้อคอกว้างจนเห็นร่องอก ชายเสื้อด้านหลังยาวถึง 8 เมตร ใช้ผ้าที่มีค่าจำนวนมาก จนสาวๆในราชสำนักตามอย่าง
อาแญส ซอเรลเป็นที่โปรดปรานของชาร์ลส์ที่ 7 มาก โปรดให้เธอร่วมประลองยุทธด้วย และให้ไปรอตามสถานที่ต่างๆ ที่เสด็จประลองยุทธหรือล่าสัตว์ และได้รับการประกาศเป็นสนมเอกอย่างเป็นทางการ นับเป็นคนแรกที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ด้วยว่าก่อนหน้านี้ สนมทั้งหลายจะอยู่อย่างลับๆ
อาแญส ซอเรลมีอิทธิพลสูงต่อชาร์ลส์ที่ 7 เธอส่งคนที่ใกล้ชิดเธอเข้าไปในแวดวงของชาร์ลส์ที่ 7 อีกทั้งเธอเองได้รับการยอมรับจากที่ปรึกษาของชาร์ลส์ที่ 7
ชาร์ลส์ที่ 7 ปรนเปรออาแญส ซอเรลด้วยเครื่องเพชรและปราสาทหลายแห่ง เช่น Château de Beauté จึงได้รับสมญานามว่า Dame de Beauté นอกจากนั้นมี Château de Vernon, Château d’Issoudun, Château de Roquesezière และ Château de Loches อาแญส ซอเรลชอบไปพักที่ปราสาทแห่งหลังนี้
โอรสของชาร์ลส์ที่ 7 ซึ่งคืออนาคตกษัตริย์หลุยส์ที่ 11 ไม่พอพระทัยที่อาแญส ซอเรลทำให้พระราชมารดาทนทุกข์ ครั้งหนึ่งจึงไล่ฟันอาแญส ซอเรล ชาร์ลส์ที่ 7 จึงทรงไล่ออกจากวัง ไปที่โดฟีเน (Dauphiné)
อาแญส ซอเรลมีลูกสาวกับชาร์ลส์ที่ 7 ถึง 4 คน คนสุดท้ายตายเมื่อแรกเกิด ในปี 1450 อาแญส ซอเรลไปพักที่ Château de Loches แล้วเกิดปวดท้องรุนแรง และถึงแก่กรรมในที่สุด ขณะอายุเพียง 28 ปี ก่อนตายได้ยกสมบัติให้แก่วัดสองแห่งของเมืองโลชส์ (Loches) คือ Collégial Saint-Ours และ Abbaye de Jumiège รวมทั้งครอบครัว และถวายเครื่องเพชรคืนชาร์ลส์ที่ 7
หัวใจของอาแญส ซอเรลฝังที่ Abbaye de Jumiège ส่วนร่างกายฝังที่ Collégial Saint-Ours หลุมฝังศพอยู่หน้าแท่นบูชา เมื่อหลุยส์ที่ 11 ขึ้นครองราชย์ ทาง Collégial Saint-Ours ต้องการเอาใจ จึงทูลเสนอให้ย้ายหลุมฝังศพออกไป แต่หลุยส์ที่ 11 ทรงไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม มีการย้ายออกไปในสมัยหลุยส์ที่ 16 ด้วยข้ออ้างว่าเกะกะการประกอบพิธีทางศาสนา
เมื่อเกิดปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส พวกปฏิวัติคิดว่าเป็นศพของนักบุญ จึงทำลายเสีย เหลือฟัน ศีรษะและเส้นผม ทหารคนหนึ่งขโมยฟันและเส้นผมไป ต่อมาในปี 1801 จึงมีการพบโกศและนำกลับไปฝังที่หลุมฝังศพเดิมในปี 1806 มีการย้ายศพอีกหลายครั้งจนในปี 2005 จึงนำกลับไปที่ Collégial Saint-Ours
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันทำให้เกิดความสงสัยว่าน่าจะเกิดจากการถูกวางยาพิษ มีผู้ต้องสงสัยหลายคน รวมทั้ง Antoinette de Maignelais ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของอาแญส ซอเรล และกลายเป็นสนมของชาร์ลส์ที่ 7 หลังจากนั้น การชันสูตรในปี 2004 พบว่าทางเดินอาหารมีสารเมอร์คิวรีมากเกินไป