Column: Well-being
จากข้อเท็จจริงที่ว่า ร้อยละ 70 ของร่างกายคนประกอบด้วยน้ำ ทำให้เราเห็นความสำคัญของน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ทุกหนแห่ง
น้ำในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ น้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์ร้อยละ 60 ที่อยู่นอกเซลล์ประมาณร้อยละ30 และที่อยู่ในเนื้อเยื่อ หรือเลือดอีกร้อยละ 10 ทำให้มนุษย์ต้องการน้ำวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยมีการขับน้ำออกจากร่างกายในลักษณะของปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ ซึ่งจะขับออกทางปัสสาวะวันละประมาณครึ่งลิตร ถึง 2.3 ลิตร
น้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันเพื่อสร้างความสมดุลก็คือน้ำที่ดื่มเข้าไปกับที่ขับถ่ายออกจากร่างกายต่อวัน ควรจะเท่ากันในสภาวะปกติ ถ้ามีการออกกำลังกาย ร่างกายจะเสียน้ำมากขึ้นทั้งจากเหงื่อและกล้ามเนื้อ จึงทำให้ต้องดื่มน้ำมากขึ้น ปริมาณน้ำในร่างกาย ถ้าลดลงเพียง 2% ร่างกายจะเริ่มทำงานสับสน ถ้าขาดน้ำถึง 5% การทำงานของร่างกายจะบกพร่องผิดปกติไปถึง 30% ถ้าเสียน้ำมากกว่านี้โดยไม่แก้ไข ร่างกายจะหมดกำลัง รู้สึกเวียนศีรษะ อาจถึงหมดสติและเสียชีวิตได้ เมื่อร่างกายเริ่มขาดน้ำจะรู้สึกว่าน้ำลายแห้งและเกิดความไม่สมดุล โดยการขาดน้ำจะกระตุ้นให้สมองส่วนล่าง (Hypothalamus) ทำงาน ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งชี้ว่าร่างกายต้องการน้ำ
นอกจากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของร่างกายแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำมีคุณต่อสุขภาพของเรามากชนิดที่คุณไม่เคยคาดคิดด้วยซ้ำไป ดังที่บทความในนิตยสาร GoodHealth นำเสนอคือ
น้ำทำให้สมองทำงานว่องไวขึ้น
ซึ่งหมายถึงปฏิกิริยาตอบโต้ของคุณว่องไวขึ้นด้วย นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ได้ดื่มน้ำปริมาณมากก่อนเข้าร่วมทำแบบทดสอบเพื่อวัดความสามารถทางจิตใจและการทำสมาธิ สมองของพวกเขาสามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นร้อยละ 14
สาเหตุเพราะน้ำเข้าไปช่วยลดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ขนาดของสมองเนื้อสีเทา (grey matter) หดตัวลงชั่วคราว โดยสมองเนื้อสีเทาทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมทั้งความรู้สึกต่างๆ ทั้งด้านประสาทสัมผัส ความนึกคิด ความจำ การมองเห็น การพูด การได้ยิน
ดังนั้น เมื่อไรที่คุณรู้สึกว่าสมองเฉื่อยชาลง ให้ดื่มน้ำเข้าไปสักสามแก้ว จะเกิดผลที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
น้ำช่วยลดน้ำหนัก
ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า การดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารทุกมื้อเป็นเวลานาน 3 เดือน ช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ถึงสี่เท่าหรือประมาณ 4.3 กิโลกรัม เพราะถ้าคุณดื่มน้ำแล้วทิ้งระยะให้นานพอก่อนรับประทานอาหาร คุณจะรู้สึกอิ่มและอยากรับประทานน้อยลง
วิธีการคือ ครึ่งชั่วโมงก่อนเวลาอาหารทุกมื้อ ให้ดื่มน้ำเปล่า (ย้ำว่าน้ำเปล่าเท่านั้น) 500 มิลลิลิตร
น้ำทำให้ออกกำลังกาย “ปลอดภัยขึ้น”
การออกกำลังกายมีผลทำให้ร่างกายมีความสามารถในการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจลดลงชั่วคราว และผู้หญิงต้องใช้เวลานานกว่าผู้ชาย ในการฟื้นฟูสมรรถนะหลังการออกกำลังกาย
แต่ผลการวิจัยเมื่อปีที่แล้วยืนยันว่า การดื่มน้ำทันทีหลังการออกกำลังกาย ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจได้เร็วขึ้น ด้วยการเข้าไปเร่งกระบวนการที่เรียกว่า “parasympathetic reactivation of the heart” ซึ่งสำคัญมาก เพราะยิ่งร่างกายต้องใช้เวลามากขึ้นในการทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายหลังการออกกำลังกาย
ทันทีที่ออกกำลังกายเสร็จ ให้ดื่มน้ำตามไปสักหนึ่งหรือสองแก้ว และย้ำว่าต้องเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น เพราะผลการวิจัยระบุว่า น้ำเปล่าช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ดีที่สุด ส่วนเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ทำให้คุณได้รับเกลือและพลังงานเพิ่มโดยไม่จำเป็น ยกเว้นคุณออกกำลังกายอย่างหนักต่อเนื่องกันนานเกินหนึ่งชั่วโมง
น้ำอาจลดอุบัติเหตุทางรถยนต์
หากอยู่ในภาวะขาดน้ำแล้วยังฝืนขับรถ คุณจะมีปัญหาในแง่ทำข้อผิดพลาดมากมายคล้ายกับพวก “เมาแล้วขับ” ที่มีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด 0.08 กรัม/100 มิลลิลิตร เช่น ขับรถกินเลน ตัดสินใจเบรกรถได้ช้ากว่าปกติ ฯลฯ
นักวิจัยแห่งสหราชอาณาจักรพบว่า คนขับรถที่อยู่ในภาวะขาดน้ำ เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มากกว่าคนขับรถที่ได้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอถึงสองเท่า จึงนำมาซึ่งข้อสรุปที่ว่า ร่างกายคุณจำเป็นต้องได้รับน้ำอย่างพอเพียงทุกครั้งที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย
คำแนะนำเมื่อต้องขับรถระยะทางไกลคือ ต้องมีน้ำดื่มที่สะอาดติดตัวไปด้วย ที่ต้องเน้นเรื่องความสะอาด เพราะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า น้ำบรรจุขวดพลาสติกที่ทิ้งไว้ในรถที่ร้อนจัดเป็นเวลานานถึงสองสัปดาห์ อาจปนเปื้อน biphenol A ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติก
น้ำช่วยให้รับความเครียดได้ดีขึ้น
ผลการศึกษาของสหราชอาณาจักรระบุว่า หากให้ผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียด เช่น นั่งอยู่ในห้องสอบ ได้ดื่มน้ำ พวกเขาสามารถรับมือกับภาวะเครียดได้ดีขึ้นร้อยละ 10 ซึ่งนักวิจัยอธิบายว่า อาจมีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งข้อเท็จจริงในแง่ การดื่มน้ำช่วยให้คุณควบคุมระดับความกระวนกระวายใจได้ รวมทั้งส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อความสามารถของสมองในด้านการใช้ความคิด
จึงแนะนำให้นำขวดน้ำดื่มที่สะอาดติดตัวอยู่เสมอ การดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องทำให้คุณได้รับความชุ่มชื้นเร็วกว่าน้ำเย็น เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำเย็นมีอุณหภูมิสูงขึ้นก่อน จึงทำให้ผลในการให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกายต้องล่าช้าออกไป
ดื่มน้ำแค่ไหนจึงเพียงพอ
กฎที่แนะนำว่า “ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว” ถูกต้องหรือไม่
คำตอบล่าสุดคือ “ไม่”
เพราะข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
– คำแนะนำเป็นทางการสำหรับผู้หญิงคือ ดื่มของเหลวให้ได้วันละ 2.1 ลิตรหรือ 8 แก้ว
– แต่ในปริมาณดังกล่าว แยกเป็นน้ำที่เป็นส่วนประกอบของอาหารที่บริโภคราว 700–800 มิลลิลิตร ทำให้ของเหลวที่ต้องบริโภคลดลงเหลือวันละ 5 แก้วโดยประมาณ
– ปริมาณ 5 แก้วนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเสียทั้งหมด นม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ล้วนจัดให้รวมอยู่ในปริมาณของของเหลวที่ต้องบริโภคทุกวันเช่นกัน
– แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอยู่เสมอ น้ำเปล่าคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะปราศจากพลังงานจากน้ำตาลและไขมันโดยสิ้นเชิง
– วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายอยู่เสมอ คือ บริโภคของเหลวให้เพียงพอ เพื่อให้คุณไม่รู้สึกกระหายน้ำ ข้อสังเกตง่ายๆ ให้ดูจากสีของปัสสาวะ หากมีสีเหลืองอ่อน แสดงว่าคุณบริโภคของเหลวพอเพียงแล้ว
– ข้อควรจำคือ คุณจำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้นเมื่ออากาศร้อน หรือหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก