บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งในรอบ 4 ปี ด้วยการทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับ S-Pure แบรนด์ Super Premium ด้วยการเปิดตัวแคมเปญการตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “ถ้าวิถีธรรมชาติ คือทางของคุณ S-Pure No.1 Brand” ที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น ในแพ็กเกจจิ้งรักษ์โลกแบบ “ถาดกระดาษ” เป็นรายแรก ตั้งเป้ายอดขายแบรนด์ S-Pure โต 17% เมื่อเทียบกับปี 2565
“เบทาโกร” ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจอาหารที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการผลิตอาหารสัตว์ ไปจนถึงการแปรรูปเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์อาหารสู่ผู้บริโภค แบบ “Farm to Food” ครอบคลุมในทุกเซกเมนท์ของตลาด โดยมีแบรนด์ S-Pure เป็นเรือธงในตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยม (Super Premium) ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารขั้นสูง เน้นความเป็นวิถีธรรมชาติทั้งกระบวนการและผลิตภัณฑ์แบบ 100%
โดยเนื้อสัตว์ภายใต้แบรนด์ S-Pure ถูกเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช้สารเร่งโต สารเร่งเนื้อแดง และยังเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวของไทยที่ได้รับการรับรอง “การเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA)” จาก NSF สหรัฐอเมริกา ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หมู ไก่ และไข่ไก่
ดร.โอลิเวอร์ ก็อตชัลล์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมอาหารในไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 ว่า จากการคาดการณ์ของ Euromonitor พบว่า อุตสาหกรรมอาหารในไทยจะเติบโตเฉลี่ย 6% โดยคาดว่าปี 2566 มูลค่าอุตสาหกรรมอาหารจะอยู่ที่ 787,371 ล้านบาท, ปี 2567 อยู่ที่ 839,521 ล้านบาท, ปี 2568 อยู่ที่ 887,305 ล้านบาท และปี 2569 อยู่ที่ 933,065 ล้านบาท ในขณะที่การเติบโตของ GDP ประเทศอยู่ที่ 3.0% – 3.5% ซึ่งจะเห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารเติบโตดีกว่า GDP ของประเทศ โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นนั่นเอง
และถ้าโฟกัสเฉพาะกลุ่มตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมแม้เป็นเพียง 7.3% ของตลาดอาหารทั้งหมด แต่กลับเป็นเซกเมนท์ที่มีการเติบโตที่สูงมาก มีการคาดการณ์ว่าในปี 2566 ตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมจะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคและภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ เลือกอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยสูง จากแหล่งผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับและเชื่อถือได้ ทั้งยังตระหนักและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน ดีต่อโลกและต่อตัวเอง
สำหรับแบรนด์ S-Pure เรือธงในตลาดอาหารซุปเปอร์พรีเมี่ยมของเบทาโกร ก็มีการเติบโตที่สอดคล้องกับตลาด โดยมีการเติบโตถึง 17% และ 54% ของผู้บริโภคที่เลือกแบรนด์ S-Pure ยังมีการใช้และบอกต่อ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีภาพจำด้านความสดใหม่ สะอาด และทันสมัยเป็นดั่งเครื่องหมายการค้าของแบรนด์อีกด้วย
นั่นจึงเป็นที่มาในการเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ของ S-Pure ที่มาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “S-Pure Prime” เนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด แพ็กเกจจิ้งโฉมใหม่แบบรักษ์โลกอย่าง “ถาดกระดาษ” (Paper Tray) และภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและมีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพดี โดยวางเป้าหมายยอดขายแบรนด์ S-Pure โต 17%
ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่เปิดตัวภายใต้แบรนด์ S-Pure ประกอบด้วย ไส้กรอกเวียนนา, เบคอนหมูรมควัน, พอร์คลอยน์แฮมรมควัน, โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่ ที่ยังคงวิถีการผลิตแบบธรรมชาติ ปราศจากการแต่งเติมสารเคมี รวมถึงสารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส วัตถุเจือปนอาหาร และยังใช้ช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู เนื้อไก่ S-Pure 100% นับเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหารฉลากสะอาด” (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย
ด้านแพ็กเกจจิ้งรักษ์โลกโฉมใหม่มีการนำถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ซึ่งถาดกระดาษผลิตจากต้นยูคาลิปตัสที่มาจากป่าปลูก 100% มีคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าถาดพลาสติก (Forest Stewardship Council) สามารถลดการใช้พลาสติกได้ถึง 80% พร้อมดีไซน์บรรจุภัณฑ์โฉมใหม่ ด้วยภาพลักษณ์ทันสมัย สะท้อนถึงการเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สดใหม่ มีความปลอดภัย
ซึ่งทั้ง 2 สิ่ง นับเป็นความท้าทายเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปแต่ยังคงไว้ซึ่งกระบวนการที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงการนำถาดกระดาษมาบรรจุอาหารสด โดย ดร.โอลิเวอร์ เปิดเผยว่า ก่อนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์และแพ็กเกจจิ้งใหม่นี้ต้องผ่านการทำการบ้านมาอย่างหนักเพื่อให้ได้มาตรฐานและคุณภาพที่ดีที่สุด โดยใช้เวลากว่า 2 ปีเลยทีเดียว
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่มีการเปิดตัวครั้งแรกในงาน THAIFEX-Anuga Asia 2023 ที่จัดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนจะวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อไป