แม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์มาแล้วหนึ่งฉบับ ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2537 แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ประชาชนใช้สื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้น ฤกษ์งามยามดี 4 สิงหาคม 2558 จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการบังคับใช้ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558
ทั้งนี้ พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้จะสอดคล้องกับนโยบายดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผู้สร้างสรรค์งานทุกประเภทที่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังต้องสอดคล้องกับการใช้สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฉบับแรกไม่ได้ระบุบทลงโทษที่ชัดเจน สำหรับการกระทำความผิดฐานละเมิดทางอินเทอร์เน็ต แต่ถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ฉบับที่ 2 ชัดเจน
นอกจากนี้ พ.ร.บ. ฉบับใหม่ ยังเปิดช่องให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริงสามารถบังคับให้ผู้ที่กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ยุติการละเมิด ซ้ำยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนที่อยากผลิตนวัตกรรมหรือผลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ทางด้าน สุเมธ สมคะเน ประธานสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย มองว่า “พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ฉบับที่ 2 มีความเป็นธรรมต่อเจ้าของผลงานมากขึ้น อีกทั้งยังคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่ได้มุ่งจะใช้งานลิขสิทธิ์เพื่อการค้า ซึ่งการมีบทลงโทษที่ค่อนข้างหนักจะช่วยให้ผู้ใช้งานระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น”
ทั้งนี้สุเมธยังสนับสนุนหากประชาชนหรือผู้มีอาชีพสื่อมวลชนจะช่วยกันประชาสัมพันธ์เนื้อหาของ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ภายใต้นิยามที่มีความถูกต้องของรัฐบาล
แน่นอนว่า พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฉบับนี้จะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ตลอดจนสำนักข่าวเพิ่มความระมัดระวังในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพราะมีกรณีตัวอย่างให้เห็นเมื่อปี พ.ศ. 2556 กรณีภาพสะพานมอญที่ขาดเป็นระยะทางกว่า 30 เมตร ซึ่งเจ้าของผลงานตัวจริง คือ วีรวาร์ สุขรินทร์ ช่างภาพอิสระ ที่โพสต์ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นลงใน facebook โดยในครั้งนั้นมีสำนักข่าวนำภาพไปใช้หลายสำนัก โดยไม่ระบุแหล่งที่มาของภาพ อีกทั้งยังมีการดัดแปลงผลงาน เป็นเหตุให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์
แม้ปัจจุบันกรณีพิพาทดังกล่าวจะสามารถเจรจาไกล่เกลี่ยตกลงกันได้กับคู่กรณีบางราย โดยวีรวาร์ สุขรินทร์ ให้ความเห็นต่อ พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ ฉบับที่ 2 ว่า “พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นการป้องปรามมากกว่าจะเป็นการป้องกัน และเจ้าของผลงานควรเห็นคุณค่าในชิ้นงานของตัวเอง และตื่นตัวเมื่อถูกผู้อื่นละเมิด ต้องกล้าที่จะเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง เพราะหากทุกคนวางเฉยต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ ก็เหมือนการสนับสนุน”
ทั้งนี้ วีรวาร์ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “เราควรเริ่มปลูกฝังการเรียนรู้เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ในรุ่นลูกรุ่นหลาน สอนให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักที่จะเคารพผลงานของคนอื่น อย่าปล่อยให้ พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นเพียงกระแสที่จะถูกกลืนหายไปจากสังคม ที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า คนไทยลืมง่าย” กระนั้นช่างภาพอิสระอย่างวีรวาร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์งานภายใต้อุดมการณ์ของตัวเองต่อไป
หลายคนอาจมองว่าการนำรูปของบุคคลอื่นมาใช้ในงานข่าว เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริง เหตุใดต้องมีการฟ้องร้องจนเป็นเรื่องใหญ่โต โดยที่อาจจะลืมคิดให้ลึกขึ้นอีกนิดว่า ผลงานทุกประเภทไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ งานทุกชิ้นมีมูลค่าและคุณค่าในตัวเอง ผู้คิดสร้างสรรค์ต้องสละทั้งแรง กำลังทรัพย์ และระดมสติปัญญา ในการสร้างสรรค์ชิ้นงานขึ้นมา บางเหตุการณ์ผู้สร้างสรรค์งานต้องเสี่ยงชีวิต บางเหตุการณ์อาจไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วที่ลิขสิทธิ์จะตกเป็นของเจ้าของผลงานโดยสมบูรณ์
การมีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ น่าจะมีผลดีต่อหลายๆ ด้าน ทั้งการเป็นเสมือนเกราะคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงาน อีกทั้งบทลงโทษที่หนักขึ้นอาจส่งผลให้เกิดธุรกิจเกี่ยวกับภาพถ่ายขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิม
โดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยประมาณการมูลค่าของธุรกิจไอซีทีเอาไว้เมื่อปี พ.ศ. 2556 ว่ามีมูลค่าสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ในจำนวนดังกล่าวจะต้องมีธุรกิจขายภาพออนไลน์รวมอยู่ด้วย
Shutterstock เว็บไซต์ขายภาพออนไลน์ยอดนิยมระบุว่าในปี พ.ศ. 2557 มีช่างภาพออนไลน์ส่งภาพไปขายในเว็บไซต์ Shutterstock ทุก 90 วัน ทั่วโลกมีผู้ส่งภาพเข้ามาขายประมาณ 6 หมื่นคน ซึ่งในจำนวนนี้มีช่างภาพจากประเทศไทยร้อยละ 10 นับเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย
คำถามคือ เพราะเหตุใดคนไทยจึงเริ่มให้ความนิยมและลงทะเบียนส่งภาพถ่ายขายกันมากขึ้น คำตอบคือ รายได้จากการขายภาพออนไลน์ของแต่ละเว็บไซต์ทั่วโลกเป็นอัตราเดียวกัน ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่มีค่าครองชีพต่ำ จึงมองว่านี่เป็นงานที่ทำรายได้ดี ทั้งนี้ยังสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจการถ่ายภาพมากขึ้น อีกยังเป็นงานที่มีความอิสระ
ทั้งนี้เว็บไซต์ขายภาพออนไลน์ไม่ได้มีแค่ภาพถ่ายเท่านั้น หากแต่ยังครอบคลุมถึงภาพวาดกราฟฟิก วิดีโอคลิป และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น นั่นเพราะธุรกิจสื่อนิยมซื้อภาพลิขสิทธิ์สำหรับใช้ประกอบสื่อมากขึ้น ทั้งความหลากหลายและราคาที่ถูกลง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ภาพละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม 5-6 ปีที่ผ่านมา จำนวนภาพที่ถูกส่งขายบนเว็บไซต์ รวมถึงปริมาณลูกค้าและจำนวนการดาวน์โหลดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเหตุนี้เองส่งผลให้เกิดการแข่งขันในหมู่นักขายภาพบนตลาดออนไลน์ กระนั้นภาพที่อยู่บนตลาดออนไลน์ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซ้ำยังมีแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้น หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจสื่อทั่วโลกหากยังมีอัตราการขยายตัว และความนิยมในภาพที่มีลิขสิทธิ์มากขึ้น
กระทั่งล่าสุดบริษัท GoPro บริษัทผู้ผลิตกล้องเกิดไอเดียแตกไลน์ธุรกิจใหม่ GoPro Licensing โดยจะเป็นการซื้อลิขสิทธิ์วิดีโอจากช่างภาพกว่า 600 คลิป เพื่อเปิดเว็บไซต์จำหน่ายด้วยตัวเอง ภายหลังจากที่มีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกให้ความสนใจและสอบถามการใช้งานและการซื้อลิขสิทธิ์ ทั้งนี้คลิปจาก GoPro สามารถสร้าง Engagement บน Youtube ได้มากกกว่าคลิปวิดีโอทั่วไป ซึ่งความแตกต่างระหว่างวิดีโอของ GoPro และของ User คนอื่นคือคุณภาพที่เหนือชั้นและมุมมองของกล้องที่ยากจะถ่าย
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ผู้สร้างสรรค์งานจะได้รับการปกป้องลิขสิทธิ์จาก พ.ร.บ. ฉบับใหม่ หรือธุรกิจเว็บไซต์ขายภาพออนไลน์จะขยายตัวเพิ่มขึ้น หากแต่ในสังคมย่อมมีผู้ที่ไม่เคารพตัวเองด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการขโมย เพียงแต่บัญญัติศัพท์ให้สุภาพขึ้นว่า “ผู้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา”