สับปะรดจีเอ็มโอสีชมพู ลักลอบเข้ามาไทย ร้องเรียนกว่า 9 เดือน ผลไม้เถื่อนยังทะลัก
สภาองค์กรของผู้บริโภค เรียกร้องภาครัฐ จัดการปัญหาลักลอบนำเข้าผักผลไม้จีเอ็มโอ โดยเฉพาะสับปะรดสีชมพู หวั่นปนเปื้อนพืชพื้นถิ่น กระทบการส่งออกผลไม้และความปลอดภัยผู้บริโภค
ปรกชล อู๋ทรัพย์ อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาฯ ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้บริโภคว่าพบการเผยแพร่โฆษณาจำหน่ายสับปะรดที่มีเนื้อสีชมพูบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยผลไม้ดังกล่าวเป็นผลไม้ที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม หรือที่เรียกว่าผลไม้จีเอ็มโอ (Genetically Modified Organisms : GMOs) ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศไทย สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงเร่งรัดไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสับปะรดจีเอ็มโอในประเทศไทย เร่งออกประกาศเรื่องผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอรวมถึงฉลากจีเอ็มโอ และร่วมกันเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอบนสื่อสังคมออนไลน์ ก่อนที่พืชผักผลไม้จีเอ็นโอจะปนเปื้อนพืชท้องถิ่นสร้างปัญหาการปนเปื้อน การส่งออก และผลกระทบต่อผู้บริโภค
ด้าน มลฤดี โพธิ์อินทร์ ผู้ช่วยเลขานุการอนุกรรมการฯ ระบุว่า ได้มีการร้องเรียนหน่วยงานภาครัฐจากการพบการนำเข้าสับปะรดสีชมพูกว่า 9 เดือนที่แล้ว แต่ยังมีการทะลักเข้ามาของผลไม้ชนิดนี้อย่างไม่ขาดสาย สับปะรดดังกล่าวใช้ชื่อการค้าว่า Pinkglow® pineapple ซึ่งเป็นของบริษัท DEL MONTE ประเทศคอสตาริกา โดยพัฒนาพันธุ์สับปะรดให้มีเนื้อสีชมพูด้วยกระบวนการดัดแปรพันธุกรรม (Genetically Modified Pineapple) ที่มีการประกาศขายออนไลน์ในประเทศไทย สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงได้ทำหนังสือสอบถามเกี่ยวกับประเด็นการควบคุมและกำกับดูแลไปยัง 2 หน่วยงาน คือ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2564 โดยได้รับหนังสือตอบจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เมื่อวันที 4 พฤศจิกายน 2564 ว่า การนำเข้าสับปะรดสีชมพูที่มีการดัดแปรพันธุกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศอยู่ภายใต้การควบคุมตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งกำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในขณะที่ อย. ตอบกลับเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ว่า การกำกับดูแลการนำเข้าสับปะรดที่มีการดัดแปรพันธุกรรม อยู่ภายใต้ประกาศตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2553 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
มลฤดี ระบุอีกว่า เมื่อได้รับคำตอบที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และไม่สามารถสรุปได้ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงได้ทำหนังสือสอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุขอีก 2 ครั้ง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก 3 จึงได้รับคำตอบว่า กระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการออกประกาศว่าด้วยอาหารจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และประกาศฉลากจีเอ็มโอ ในขณะที่คำตอบจาก มกอช. กลับระบุว่า สับปะรดจีเอ็มสีชมพูเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ไม่สามารถใช้อำนาจหน้าที่ในการตรวจค้นได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงจำเป็นต้องมีหมายค้น สิ่งที่ทำได้ คือ การประสานด่านศุลกากร ด่านตรวจพืช ด่านอาหารและยา เข้มงวดการตรวจสอบ ประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมให้นำโฆษณาออกจากสื่อ และทำสื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการนำเข้าสับปะรดกับกฎหมายกักพืช
“ระยะเวลาล่วงเลยมา 9 เดือนแล้ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่สภาองค์กรของผู้บริโภคทำหนังสือไปถึงทั้งสองหน่วยงาน แต่ปัจจุบันก็ยังพบว่ามีการขายและรีวิวขายในไทย สะท้อนให้เห็นถึงความล่าช้าในจัดการปัญหาของหน่วยงานรัฐ ซึ่งส่งผลต่อระบบการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้อาจเกิดความเสี่ยงจากการบริโภคผลิตภัณฑ์” มลฤดี กล่าว
ขณะที่ รศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การหลุดรอดของสับปะรดจีเอ็มจากการลักลอบส่งออกจากประเทศคอสตาริก้าแล้วลักลอบนำเข้าประเทศไทยนำเข้ามาในรูปหน่อพันธุ์ หลังจากการประชาสัมพันธ์คุณสมบัติของสับปะรดพันธุ์ดังกล่าวว่ามีกลิ่นและรสดีกว่าสับปะรดแบบดั้งเดิม โดยองค์กรที่สนับสนุนการใช้จีเอ็มโอ แม้มีเกษตรกรบางส่วนที่ซื้อหน่อพันธุ์ไปทดลองปลูกแล้วต่อมาทราบว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จึงได้ทำลายทิ้งไป แต่เชื่อได้ว่ามีเกษตรกรบางส่วนที่ซื้อหน่อพันธุ์ไปปลูกในพื้นที่เกษตรกรรม และมีข่าวว่านักผสมพันธุ์ต้นไม้ระดับอาจารย์ได้นำไปผสมพันธุ์กับสับปะรดปกติจนได้ลูกผสมก่อนทำลายสับปะรดจีเอ็มโอทิ้ง
รศ.สุรวิช กล่าวอีกว่า หากมีสับปะรดจีเอ็มโอปรากฏขึ้นในแปลงผลิตภายในประเทศ น่าจะกระทบกับเกษตรกรชาวสวนสับปะรดส่งโรงงานสับปะรดกระป๋องทันที เพราะโรงงานผู้รับซื้อจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการตรวจรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของตนปราศจากสับปะรดจีเอ็มโอ ในทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นกับโรงงานผลิตผลไม้รวมซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการตรวจรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของตนปราศจากมะละกอจีเอ็มโอ ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวย่อมถูกส่งต่อมายังเกษตรกร ด้วยการลดราคารับซื้อลง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกษตรกรผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องเดือดร้อนทางเศรษฐกิจจากสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อขึ้น จึงขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการจัดการปัญหา
ส่วน วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าวว่า หากปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าและปลูกในวงกว้าง ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบกับการส่งออกของอุตสาหกรรมผลไม้ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศ และเพิ่มภาระต้นทุนการตรวจสอบของภาคเอกชน จากบทเรียนปัญหาการปนเปื้อนทางพันธุกรรมของมะละกอจีเอ็มโอเมื่อปี 2556 ที่ทำให้การส่งออกลดลง 4 – 5 เท่า เนื่องจากประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรปไม่ยอมรับพืชจีเอ็มโอ
“อยากสื่อสารถึง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าท่านได้ตระหนักถึงเรื่องการนำเข้าสับปะรดจีเอ็มโอนี้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากท่านมาจากพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดถึง 148,198 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 34.95 และยังเป็นพื้นที่ที่มีการแปรรูปสับปะรดกระป๋องอีกด้วย จึงอยากให้รีบดำเนินการและจัดการกับการนำเข้าสับปะรดจีเอ็มโอ เพื่อคุ้มครองเกษตรกรที่ปลูกสับปะรดกว่า 5 หมื่นครอบครัว รวมถึงอุตสาหกรรมสับปะรดทั้งระบบ” เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าว
สำหรับข้อเสนอที่สภาองค์กรของผู้บริโภค มีต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
1) ขอให้กรมวิชาการเกษตรเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของสับปะรดดัดแปรพันธุกรรมในประเทศ เนื่องจากการควบคุมการปลูกและจำหน่ายสับปะรดจีเอ็มสีชมพูในไทย เป็นสิ่งต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 โดยกรมวิชาการเกษตรมีอำนาจในการตรวจค้น ยึด อายัด ทำลาย และสั่งไม่ให้นำเข้า ดังนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย หากจำเป็นต้องมีหมายค้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ ก็ควรเร่งดำเนินการเพื่อออกหมายค้น
2) ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งออกประกาศว่าด้วยอาหารจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และประกาศฉลากจีเอ็มโอ ตามที่องค์กรของผู้บริโภคเคยทำข้อเสนอ โดยต้องมีสัญลักษณ์ฉลากจีเอ็มโอที่ชัดเจน และครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์
3) ขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร และ อย. สร้างกระบวนการเฝ้าระวังและติดตามการโฆษณาในสื่อสังคมออนไลน์
4) เสนอให้รัฐนำพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ ฉบับประชาชน ที่เคยเข้าสภาผู้แทนราษฎรก่อนรัฐประหาร มาพิจารณาเป็นกฎหมายและบังคับใช้โดยเร็ว เพื่ออุดช่องว่างปัญหาการลักลอบนำเข้าผลไม้จีเอ็มโอ
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภคจะทำหนังสือติดตามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของสภาองค์กรของผู้บริโภคที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562