ตลาดหัตถการความงามพุ่ง กัลเดอร์มา ประเทศไทย เผยยอดขายปี 2562 เติบโต 30% เตรียมทุ่ม 100 ล้าน ทำการตลาดไฮเอนด์ ตอกย้ำจุดแข็งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย
กัลเดอร์มา ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความงามระดับโลก เผยความความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตดับเบิล ดิจิต 5 ปีซ้อน โดยในปี 2562 มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้น 30% เนื่องด้วยปัจจัยบวกของภาพร่วมตลาดหัตถการความงามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่เกิดจากพฤติกรรมผู้บริโภคมีทัศนคติที่เปิดกว้างมากขึ้นในแง่การใช้ผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจและเสริมบุคลิกตัวเอง ประกอบกับกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทฯ ในการผลักดันนวัตกรรมความงามเพื่อตอบโจทย์เทรนด์ความงามของคนไทยด้วยจุดแข็งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ตลอดจนการมุ่งพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคนิคการเสริมความงามร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมเดินหน้ามัดใจกลุ่มไฮเอนด์-พรีเมียม ด้วยกลยุทธ์ “Empower Beauty In All Forms” ให้ทุกใบหน้าบ่งบอกความงามของตัวเอง ผลักดัน 3 นวัตกรรมความงามที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อทำงานร่วมกันและตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลในแบบเฉพาะตัว ตอบรับเทรนด์ความงามของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเติมเต็มความสวยอย่างสมบูรณ์แบบทุกองค์ประกอบความงาม มั่นใจสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็น The Most Loved Brand ได้ในปีนี้
คุณธวัชชัย บุญทวีกิจ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “ด้วยแนวโน้มของตลาดหัตถการความงามของไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปิดกว้างมากขึ้นในเรื่องการเสริมความงาม ผลักดันให้ในปี 2562 ที่ผ่านมา กัลเดอร์มามียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 30% โดยมี 3 ผลิตภัณฑ์ที่ผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ได้แก่ นวัตกรรมสารเติมเต็ม เรสทิเลน ไฮยาลูรอนิค เดอร์มอล ฟิลเลอร์ (Restylane Hyaluronic Dermal Fillers) นวัตกรรมสารลดเลือนริ้วรอยเอโบ แอคทีฟ ทรีดี (ABO Active 3D) และ เรสทิเลน ออริจินัล สกินบูสเตอร์ (Restylane Original SKINBOOSTERS) นวัตกรรมเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยกัลเดอร์มา ประเทศไทย ยังครองอันดับหนึ่งในเซกเมนต์สารเติมเต็มที่อยู่ภายใต้ตลาดธุรกิจความงามในประเทศไทยมาโดยตลอด และในปี 2563 นี้ กัลเดอร์มา ประเทศไทย ได้เตรียมงบมากกว่า 100 ล้านบาท ในการทำการตลาดผ่านกลยุทธ์แบบ Holistic Approach เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ ในการนำเสนอนวัตกรรมความงามที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการนวัตกรรมที่สามารถเติมเต็มทุกรายละเอียดความงามบนใบหน้า เพื่อความสวยอย่างมีเอกลักษณ์และสมบูรณ์แบบที่สุด นอกจากนี้ กัลเดอร์มายังคงมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้ด้านความงาม โดยการจัดอบรมและสัมนาตลอดทั้งปีเพื่อส่งเสริมศักยภาพของแพทย์ความงามในประเทศไทยให้มีความชำนาญและเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ในการเสริมสร้างความงามอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งนี่เป็นจุดแข็งที่บริษัท กัลเดอร์มา ประเทศไทย ตอกย้ำตลอดมา”
ด้าน เภสัชกร พิรพัฒน์ ศรีวัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการธุรกิจความงาม บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ปี 2563 ถือเป็นปีที่ท้าทาย ด้วยโอกาสที่ผู้บริโภคเปิดกว้างมากขึ้นในการมองหาความสวยด้วยแพทย์ และความงามในปัจจุบันถูกนิยามอย่างหลากหลายมากขึ้น โดยผู้คนเริ่มให้คุณค่าความงามที่เป็นปัจเจกมากขึ้นและไม่ตีกรอบของความงามเอาไว้ให้อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทัศนะดังกล่าวกำลังถูกส่งต่อไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก โดหัตถการที่เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือการฉีดสารเติมเต็มและสารลดเลือนริ้วรอยที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นหัตถการที่ได้ผลทันใจ รวมถึงเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นนอกจากเซกเมนต์สารเติมเต็มที่เราเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ในปีนี้เรายังเดินหน้าเพื่อครองตลาดในเซกเมนต์อื่น ๆ โดยในปีที่ผ่านมา กัลเดอร์มา ประเทศไทย ได้มีการเปิดตัวนวัตกรรม ABO Active 3D สารลดเลือนริ้วรอยจากประเทศอังกฤษ และมีอัตราการเติมโตสูงมากกว่าเท่าตัวในปีที่ผ่านมา ซึ่งทางกัลเดอร์มาเองก็จะบุกทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งในการสื่อสารกับกลุ่มผู้บริโภค และการจัดอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสำหรับเทคนิคการฉีดแบบพิเศษจากอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อความแม่นยำและให้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติที่สุด”
นอกจากนี้ กัลเดอร์มา ประเทศไทย ยังมีแผนในการร่วมมือกับบริษัท ซิลลิค ฟาร์ม่า ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Block Chain) มาใช้ในการบันทึกข้อมูลของผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยลดปัญหาสินค้าปลอมและไม่ได้คุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะทำการบันทึกข้อมูลสินค้าแต่ละกล่อง ตั้งแต่การผลิต จนถึงการนำส่งที่คลินิก ซึ่งทางผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชัน ชื่อ eZTracker ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเป็นของแท้ที่ถูกต้องจากทางบริษัท กัลเดอร์มา ประเทศไทย ซึ่งทางผู้บริโภคสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบ iOS และ Android โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2563 นี้เป็นต้นไป