ลอรีอัล กรุ๊ป ในฐานะพันธมิตรระดับโลกที่อยู่เคียงข้างร้านตัดผม-เสริมสวยมามากกว่า 110 ปี ตอกย้ำจุดยืนในการสนับสนุนธุรกิจร้านตัดผม-เสริมสวยและช่างผมท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ทั่วโลก โดย ลอรีอัล ประเทศไทย ได้เร่งจัดทำ โครงการ L’Oréal Thailand Salon Solidarity เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนร้านตัดผม-เสริมสวย แนะแนวทางช่วยเหลือเพื่อปรับตัวหลังสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ หนึ่งในนั้นคือการร่วมมือกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดบรรยายให้ความรู้รายละเอียดมาตรการด้านสุขอนามัย พร้อมจัดโปรแกรมการฝึกอบรมออนไลน์ให้แก่ร้านทำผม-เสริมสวย เพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้
ปัจจุบัน ลอรีอัล กรุ๊ป ได้มีการช่วยเหลือร้านตัดผม-เสริมสวยให้พร้อมกลับมาฟื้นฟูธุรกิจได้ทันทีเมื่อได้รับมาตรการผ่อนปรนในแต่ละท้องที่ โดยวัตถุประสงค์หลักคือช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการได้อย่างปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บริษัทฯ ได้ร่วมจัดหาเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดและหน้ากากอนามัย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางด้านสุขอนามัยที่เป็นรูปธรรม ให้ธุรกิจสามารถทำได้จริงหลังจากได้รับมาตรการผ่อนปรน โดยลอรีอัล กรุ๊ป ได้มอบหน้ากากอนามัยจำนวน 8.5 ล้านชิ้น ให้แก่ธุรกิจร้านทำผม-เสริมสวยในยุโรป และอีกกว่า 20 ล้านชิ้น ในสหรัฐอเมริกา และจะเดินหน้าจัดหาหน้ากากอนามัยประเทศอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้มอบเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดจำนวน 3.5 ล้านขวด พร้อมเดินหน้าผลิตเพิ่มอย่างต่อเนื่องด้วยโรงงานภายในเครือ เพื่อมอบให้แก่ร้านทำผม-เสริมสวยทั่วโลกอีกด้วย
ในประเทศไทย ภายใต้โครงการ L’Oréal Thailand Salon Solidarity หนึ่งในมิติของการช่วยเหลือที่สำคัญนั้นคือด้านสุขอนามัย โดยในช่วงแรกของการระบาด ลอรีอัล ได้จัดหาเจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดให้ร้านพันธมิตร และกำลังเตรียมมอบหน้ากากเฟซชิลด์ จำนวน 2,500 ชิ้นให้แก่ร้านทำผม-เสริมสวย เพื่อสนับสนุนด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของช่างและลูกค้าตามมาตรการของภาครัฐ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดบรรยายผ่านเฟซบุ๊ก ไลฟ์ให้ความรู้มาตรการด้านสุขอนามัยสำหรับร้านเสริมสวย หลังได้รับการผ่อนปรนให้กลับมาเปิดดำเนินการ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขจับมือกับภาคเอกชน โดยการบรรยายออนไลน์ดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยมจากช่างผมและร้านเสริมสวยทั่วประเทศ และมีผู้รับชมมากกว่า 10,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังได้ช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปิดให้บริการธุรกิจร้านทำผม-เสริมสวยภายใต้การบังคับใช้มาตรการได้เป็นอย่างดี อาทิ มาตรการการป้องกันของช่างผู้ให้บริการ วิธีทำความสะอาดเครื่องมือ แนวทางการเว้นระยะห่างในร้าน จัดระบบระบายอากาศ การจัดระเบียบการให้บริการและรับจองล่วงหน้า เพื่อความปลอดภายของช่างผมและลูกค้า
นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลอรีอัลทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ได้ดำเนินมาตรการในการสนับสนุนธุรกิจร้านทำผม-เสริมสวย ภายใต้โครงการ Salon Solidarity มากมาย อาทิ
– การฝึกอบรมออนไลน์สำหรับช่างผม: ตั้งแต่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลากหลายเมืองทั่วโลก L’Oréal Access แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับช่างผมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ให้บริการครอบคลุมกว่า 20 ประเทศ ได้จัดฝึกอบรมและให้ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ให้แก่ช่างผมมากมาย โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แพลตฟอร์มดังกล่าวมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นจาก 42,000 คน เป็น 100,000 คน นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ส่งเสริมการเรียนรู้ออนไลน์ให้แก่ช่างทำผมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัทฯ ในขณะที่ธุรกิจถูกปิดชั่วคราวอีกด้วย โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แบรนด์ L’Oréal Professionnel และ Kérastase ได้จัดทำการฝึกอบรมออนไลน์ให้แก่ช่างผมและลูกค้าถึง 16 หัวข้อ และ ลอรีอัล ยังได้ให้ความสำคัญกับช่างผมโดยการส่งเสริมให้มีบทบาทในสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัทฯ เพื่อให้พวกเขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง
– การฝึกอบรมด้านเครือข่ายสังคมค้าขายออนไลน์ (Social Commerce): ลอรีอัล ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ ฝ่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ของ Facebook ประเทศไทย ให้การฝึกอบรมออนไลน์เกี่ยวกับเครือข่ายสังคมค้าขายออนไลน์ (Social Commerce) ให้แก่เจ้าของธุรกิจร้านทำผม-เสริมสวยทั่วประเทศ เพื่อให้พวกเขามีช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติมในขณะที่ธุรกิจถูกปิดชั่วคราว
– ร่วมมือกับพันธมิตรแพลตฟอร์มด้านการจองคิวออนไลน์: ลอรีอัล ประเทศไทย กำลังวางแผนในการจับมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำในด้านการจองคิวออนไลน์เพื่อการทำกิจกรรม เพื่อให้ความช่วยเหลือธุรกิจร้านทำผม-เสริมสวยให้สามารถจัดการระบบรับจองคิวล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– การให้บริการตัดผมแก่บุคลากรทางการแพทย์: ลอรีอัล ประเทศไทย กำลังรวบรวมทีมช่างผมจากร้านทำผม-เสริมสวยพันธมิตร เพื่อให้บริการตัดผมแก่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ให้บริการเป็นด่านหน้าในโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
นอกเหนือจากมาตรการในการช่วยเหลือที่หลากหลายและครอบคลุมแล้ว ลอรีอัล ประเทศไทย ยังได้จัดทำแบบสำรวจความต้องการและความมั่นใจในการใช้บริการร้านตัดผม-เสริมสวยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของช่างทำผมมืออาชีพ โดยแบบสำรวจดังกล่าวเก็บข้อมูลจากผู้ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งหมด 1,060 คน ในประเทศไทยระหว่าง วันที่ 30 เม.ย. – 4 พ.ค. 2563 พบว่า กว่า 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้บริการทำผมที่ร้านในช่วงระหว่างล็อกดาวน์ และจากจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 70% ที่รู้สึกว่า การที่ไม่สามารถรับบริการจากช่างผมมืออาชีพส่งผลกระทบต่อทั้งทางสุขภาวะและความมั่นใจของตนเอง ยังสามารถสรุปได้ว่า พวกเขาเชื่อว่าร้านทำผม-เสริมสวย มีความสำคัญในการช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและช่วยให้รู้สึกดีกับตัวเอง ด้านการบริการที่มีให้นอกเหนือจากการตัด สระ ไดร์ แล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจยังต้องการทำสีและไฮไลท์ผมมากที่สุดเมื่อร้านสามารถกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ
โดยหลังจากรัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนปรนให้ร้านตัดผม-เสริมสวยกลับมาเปิดบริการ ตัด สระ ไดร์ ได้อีกครั้ง จำนวน 41% ของผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกมั่นใจที่จะใช้บริการตัดผม-เสริมสวย โดยกว่า 78% อยากที่จะกลับไปใช้บริการภายในสัปดาห์แรกทันที และ 2 ใน 3 เชื่อว่าร้านที่ใช้บริการเป็นประจำจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างถูกต้อง
นางอินเนส คาลไดรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสรุปว่า “ผลิตภัณฑ์แรกของ ลอรีอัล กรุ๊ป คือผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่เป็นมิตรต่อหนังศรีษะ ด้วยเหตุนี้ ร้านตัดผม-เสริมสวยจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญ แต่ยังเปรียบเสมือนครอบครัวและพันธมิตรของลอรีอัลมามากกว่า 110 ปี ในประเทศไทย ลอรีอัล มีพันธมิตรร้านตัดผม-เสริมสวยราว 1,000 แห่งทั่วประเทศ ในฐานะพันธมิตรระดับโลกที่ให้การสนับสนุนและอยู่เคียงข้างช่างผมมาอย่างยาวนาน ลอรีอัล เชื่อว่าการให้ความช่วยเหลือในหลากหลายมิติ ภายใต้โครงการ L’Oréal Thailand Salon Solidarity นี้ จะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยให้ร้านตัดผม-เสริมสวย สามารถฝ่าวิกฤติ ปรับตัวและกลับมาฟื้นธุรกิจภายใต้ new normal อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อช่วยสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงปากท้องไม่ว่าจะเป็นส่วนเจ้าของร้าน ช่างผม พนักงานร้าน และครอบครัว และสามารถรังสรรค์ผลงานศิลปะบนเส้นผมที่ช่วยเสริมความมั่นใจและสุขภาวะให้ผู้บริโภคหญิงและชายได้ในทุกสถานการณ์”