สิ้นสุดไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการประเมินคะแนนการเงินที่เป็นธรรม 9 ธนาคารไทย โดยแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ซึ่งประเมินจากแนวนโยบายของแต่ละธนาคาร ตลอดปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นปีที่ 2 ของการดำเนินงานติดตามผลกระทบและความท้าทายของธุรกิจธนาคารต่อสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค มุ่งผลักดันการธนาคารที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยใช้แนวปฏิบัติการเงินที่เป็นธรรมนานาชาติ (Fair Finance Guide International) มาเป็นเกณฑ์ประเมินนโยบายด้านต่างๆของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทย ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเกียรตินาคิน
การประเมินนี้ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมฯ พิจารณาคะแนนจากเนื้อหานโยบายและแนวปฏิบัติในการลงทุนและการให้บริการทางการเงินของสถาบันการเงิน เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืนที่เกี่ยวข้องหัวข้อประเมิน มีทั้งสิ้น 12 หัวข้อ ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การทุจริตคอร์รัปชัน ความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ธรรมชาติ ภาษี ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าอาวุธ การคุ้มครองผู้บริโภค การขยายบริการทางการเงิน การตอบแทน และความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
คะแนนโดยรวมเพิ่มขึ้น TMB-KBank-SCB ขึ้นท็อปลิสต์
การประเมินในปีนี้ พบว่าธนาคารทั้ง 9 แห่ง ได้คะแนนเฉลี่ย 21.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 120 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีแรก 5.1% ธนาคารที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธนาคารทหารไทย (22.6%) ธนาคารกสิกรไทย (20.7%) ธนาคารไทยพาณิชย์ (20.3%) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (17.2%) และ ธนาคารกรุงเทพ (17.0%)
โดยในปีนี้ ธนาคารที่ทำอันดับได้ดีขึ้นมีสองแห่งคือ TMB ที่ไต่จากอันดับ 9 มาสู่อันดับ 1 และ BBL ที่ขยับจากอันดับ 6 มาเป็นอันดับ 5 ธนาคารสี่แห่งที่มีอันดับร่วงลงจากปีแรกได้แก่ SCB TISCO KTB และ KKP (เกียรตินาคิน) ส่วนสามแบงก์ที่เหลือคือ KBank Krungsri และ TBANK (ธนชาต) ยังคงรักษาอันดับในการประเมินได้เท่าเดิมจากปีแรก
สอบผ่านธุรกิจ แต่สอบตกสิ่งแวดล้อมและสังคม
เมื่อดูผลการประเมินรายหมวด ธนาคาร 9 แห่งโดยรวมมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกหมวด หมวดที่ธนาคารได้คะแนนสูงสุด 3 หมวดแรก ยังคงเป็นหมวดเดียวกันกับผลการประเมินนโยบายปี 2561 ได้แก่ หมวดการขยายบริการทางการเงิน เพิ่ม 5.1% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 54.4% จาก 49.3% ในปีก่อน) หมวดการคุ้มครองผู้บริโภค เพิ่ม 12.1% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 46.8% จาก 34.7% ในปีก่อน) และหมวดการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน เพิ่ม 0.9% (คะแนนเฉลี่ยปีนี้ 42.6% จาก 41.7% ในปีก่อน) นอกจากนี้หมวดที่ธนาคารส่วนใหญ่ได้คะแนนรวมโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเช่นกัน ได้แก่ หมวดอาวุธ รองลงมาคือหมวด ภาษี ค่าตอบแทน สิทธิแรงงาน และ สิทธิมนุษยชน ตามลำดับ
หมวดที่ธนาคารได้คะแนนน้อยที่สุดและได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 5% มี 5 หมวด ได้แก่ หมวดธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 1.7% (จาก 0.0% ในปีก่อน เป็น 1.7% ในปีนี้) โดยมีธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารเพียงแห่งเดียวที่เปิดเผยนโยบายในหมวดนี้ หมวดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มขึ้น 1.2% (จาก 1.2% ในปีก่อน เป็น 2.3% ในปีนี้) หมวดความเท่าเทียมทางเพศ เพิ่มขึ้น 1.3% (จาก 1.5% ในปีก่อน เป็น 2.8% ในปีนี้) หมวดสิทธิมนุษยชน เพิ่มขึ้น 0.9% (จาก 1.7% ในปีก่อน เป็น 2.6% ในปีนี้) และหมวดค่าตอบแทน เพิ่มขึ้น 2.3% (จาก 1.8% ในปีก่อน เป็น 4.1% ในปีนี้)
ทั้งนี้ธนาคารไทยโดยรวมยังไม่มีการประกาศนโยบายสินเชื่อ (Credit Policy) ซึ่งรวมถึงแนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนต่อสาธารณะ อันเป็นเสมือนคำมั่นสัญญาที่มีต่อผู้บริโภคว่าธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสังคมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยกเว้นธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ โดยธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของนโยบายสินเชื่อของธนาคาร แต่ยังไม่เปิดเผยนโยบายสินเชื่อรายอุตสาหกรรม ส่วนธนาคารทหารไทยเปิดเผยนโยบายที่ชัดเจนมากกว่า
ดิจิทัลดันบริการการเงินพุ่ง แต่ความเท่าเทียมทางเพศยังต่ำอยู่ การขยายบริการทางการเงิน เป็นหัวข้อที่ธนาคารไทยโดยรวมได้คะแนนค่อนข้างดี ไม่มีธนาคารใดได้คะแนนต่ำกว่า 20% ในหมวดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความตื่นตัวของธนาคารไทยทุกแห่งต่อกระแสธนาคารดิจิทัล (Digital Banking) ซึ่งขยับขยายพรมแดนของการให้บริการทางการเงินออกไปจากเดิม
ในบรรดาหมวดที่ธนาคาร 9 แห่ง ยังคงได้คะแนนน้อย คือ หมวดความเท่าเทียมทางเพศ ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 2.8% และหมวดค่าตอบแทนได้คะแนนเฉลี่ย 4.1% สะท้อนถึงภาวะที่ธนาคารไทยโดยส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเผยนโยบายที่ชัดเจนด้านการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในองค์กร และมีมาตรการป้องกันและบรรเทาการเลือกปฏิบัติทางเพศต่อลูกค้าอย่างไร รวมทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์อื่นนอกเหนือจากการพิจารณาด้วยผลประกอบการทางธุรกิจมาใช้ในการประเมินค่าตอบแทนแก่พนักงาน เช่น การใช้เกณฑ์ความพึงพอใจของพนักงานความพึงพอใจของลูกค้า และการปรับปรุงผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ธนาคารไทยตื่นตัวสู่ความเป็นธรรมและยั่งยืน
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย มีสมาชิกประกอบด้วยบริษัทวิจัย ป่าสาละ จำกัด และองค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิบูรณะนิเวศ เริ่มต้นการประเมินครั้งแรกในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของภาคการธนาคาร ในบทบาทที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยและโลกใบนี้ไปสู่ความยั่งยืนผ่านการดำเนินธุรกิจบนแนวคิดการธนาคารที่ยั่งยืน (Sustainable Banking) ผ่านการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เปิดเผย และเป็นธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนชีวิตและความเป็นมนุษย์
สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า “การที่ธนาคารทุกแห่งมีคะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีแรก สะท้อนว่าธนาคารไทยมีความตื่นตัวมากขึ้นต่อการเปิดเผยนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่เป็นธรรมและความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทางคณะวิจัยเองก็รับรู้ได้ถึงการเปิดรับและความตื่นตัว โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในช่วงการเข้าหารือในช่วงรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งธนาคารหลายแห่งมีการเปิดเผยนโยบายเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ทางการของตัวเอง”
แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย มีความเชื่อมั่นว่าธนาคารไทยทุกแห่งสามารถใช้เกณฑ์การประเมิน Fair Finance Guide International เป็นแนวทางพัฒนานโยบายสินเชื่อ (Credit Policy) ได้ รวมถึงสามารถนำไปสู่การพัฒนารายการอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีนโยบายไม่สนับสนุนทางการเงินเ พราะมีแนวโน้มสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมสูง (Exclusion List) ตลอดจนพัฒนานโยบายอื่นๆ ที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนตามหลักการธนาคารที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต อีกทั้งเป็นการขับเคลื่อนตามแนวปฏิบัติการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Sustainable Banking Guidelines – Responsible Lending ธนาคารพาณิชย์ไทยทุกแห่งลงนามในบันทึกข้อตกลงเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562) อย่างเป็นรูปธรรม
ดูผลคะแนนฉบับเต็ม ได้ที่ www.fairfinancethailand.org
คะแนนรวมการเงินที่เป็นธรรม แยกธนาคาร แยกหัวข้อ