Column: Well – Being
ถ้าคุณมีชีวิตเหมือนคนส่วนใหญ่ที่อยู่กับข้อผูกมัดทางครอบครัว กำหนดเส้นตายในการทำงาน ความยุ่งเหยิงทางการเมือง หรือข่าวประจำวันอะไรก็ตามที่ทำให้คุณไม่เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา และปัจจัยเหล่านี้ทำให้คุณเกิดความรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย หรือาจถึงขั้นตึงเครียดมากด้วยซ้ำ
รีด วิลสัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวช แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา กล่าวว่า มีผลการศึกษาชี้ว่า ชาวอเมริกันเป็นคนขี้ตื่นเต้นไม่เบา ผู้ใหญ่เกือบทุก 1 ใน 5 คนป่วยจากโรควิตกกังวล ในจำนวนนี้ผู้หญิงเป็นมากกว่าถึง 4 เท่า
นิตยสาร Prevention : Relieve Anxiety Naturally ประมาณการว่า มีชาวอเมริกันราว 40 ล้านคนต้องทุกข์ทรมานจากโรคนี้ และให้วิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่า คุณถูกคุกคามจากโรควิตกกังวลนี้บ้างหรือไม่ ดังนี้
ความวิตกกังวลออกอาการทางร่างกาย
เรากำลังพูดถึงความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกิดขึ้นจริง แหล่งที่มานั้นหลากหลายขึ้นกับแต่ละบุคคล รอยซ์ ลี จิตแพทย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตเวช แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก อธิบายว่า คนจำนวนมากที่เป็นโรควิตกกังวลต้องทนทุกข์กับภาวะโซมาติก เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้อง กรดไหลย้อน และเหงื่อออกมากผิดปกติ
ภาวะโซมาติกเป็นผลจากความเครียดเรื้อรัง เมื่อคุณเกิดความตึงเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายคุณจะเตือนในระดับสูง ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งในระยะสั้นไม่ถือว่าเป็นปัญหา แต่สำหรับคนที่เป็นโรควิตกกังวล สิ่งเร้าต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไปหรือรุนแรงเกินไป และนำไปสู่ความเจ็บปวดทางร่างกาย
ควบคุมไม่ได้
มันไม่ช่วยเลยกับการพร่ำบอกตัวเองให้สงบลง (หรือมีใครสักคนช่วยบอกให้คุณสงบลง) ความวิตกกังวลเป็นสัญญาณที่ส่งจากสมองว่าเกิดความผิดปกติขึ้น สมองจะสั่งการให้ร่างกายของคุณเตรียมพร้อมและปกป้องตัวเอง มันเป็นการทำงานเชิงอารมณ์อัตโนมัติของสมองที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ
ลีอธิบายว่า การพร่ำบอกตัวเองให้หยุดตื่นเต้น หรืออย่าสติแตกนั้น จริงๆ แล้วอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง “มันเหมือนการที่ใครบางคนไม่สามารถสั่งตัวเองว่าพวกเขาไม่รู้สึกหิว แต่จริงๆ แล้วพวกเขาหิว เมื่อคุณกำลังวิตกกังวล มันคือความรู้สึกนั้นจริงๆ” ลีตั้งข้อสังเกตว่า การจดจำและยอมรับเวลาที่คุณรู้สึกวิตกกังวล สามารถช่วยให้คุณควบคุมตัวเองได้บ้างเป็นบางครั้ง
รบกวนการนอน
ผู้เป็นโรควิตกกังวลมีปัญหาร่วมกันอย่างหนึ่งคือ นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งลียืนยันว่า มันส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างใหญ่หลวง “เมื่อคุณไม่สามารถข่มตาให้หลับ มันกลายเป็นความยากลำบากที่ต้องตื่นขึ้นเพื่อไปทำงานหรือทำหน้าที่ของครอบครัว เพราะคุณอ่อนเพลียมาก” การนอนพักผ่อนไม่เพียงพออาจนำไปสู่อาการผิดปกติทางร่างกาย เช่น เจ็บปวด (โดยเฉพาะตามข้อที่ต้องรับน้ำหนักตัว) อ่อนล้า ปวดศีรษะ และน้ำหนักตัวเพิ่ม
รุนแรงกว่าความเครียด
ลีอธิบายว่า มีอาการของโรควิตกกังวลหลายอย่างที่ทับซ้อนกับปฏิกิริยาต่อความเครียดตามปกติ เช่น ความเปลี่ยนแปลงในความอยากอาหาร รู้สึกตื่นเต้นผิดปกติ มีปัญหาการนอน ข้อแตกต่างของโรควิตกกังวล คือ ขนาดของการตอบสนองของแต่ละบุคคล “เมื่อการตอบสนองไม่เป็นไปตามสัดส่วนของปัญหา นั่นคืออาการของโรควิตกกังวล หรือถ้าการตอบสนองต่อความเครียดยังดำเนินต่อไปอีกแม้เมื่อหมดแรงกระตุ้นไปแล้วก็ตาม”
ยาไม่ช่วยเสมอไป
ยารักษาโรควิตกกังวลที่ใช้ในเวลานี้หาความสมบูรณ์ไม่ได้เลย มีการใช้ยา Benzodiazepines เพื่อรักษาอาการวิตกกังวลเรื้อรัง ทว่า ยาดังกล่าวนี้จะมีประสิทธิภาพลดลงถ้านำมาใช้ซ้ำๆ กลับทำให้อาการแย่ลง สำหรับคนไข้บางคนทำให้เกิดการติดยา ลีอธิบายต่อไปว่า แพทย์จะเขียนใบสั่งยาให้คนไข้เพื่อใช้ในสถานการณ์ที่เกิดความเครียดโดยเฉพาะ เช่น ยา Antidepressants ใช้ได้ดีสำหรับการรักษาโรควิตกกังวลในระยะยาว และไม่ทำให้ติดยา อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ทำให้เกิดผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน เช่น ปวดกระเพาะ ความต้องการทางเพศลดลง และน้ำหนักตัวเพิ่ม
จดจำแรงกระตุ้นไม่ได้เสมอไป
ลีอธิบายว่า สำหรับผู้ป่วยบางคน พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลคืออะไร แต่กับอีกหลายคน สาเหตุยังเป็นปริศนา สมองของคุณจะประมวลผลข้อมูลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของคุณ และเตรียมร่างกายให้มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสิ่งกระตุ้นอันหลากหลาย เช่น ถ้าคุณกลัวงู สมองของคุณอาจกระตุ้นปฏิกิริยาต่อบางสิ่งบางอย่างด้วยความหวาดกลัว เช่น หญ้าหรือก้อนหิน เพราะเป็นสถานที่ที่งูอาจซ่อนตัวอยู่ โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นนอกเหนือการตระหนักรู้ของคุณ “มันเป็นไปได้ที่สมองจะเริ่มต้นปฏิกิริยาความกลัวที่ขึ้นกับสิ่งกระตุ้นที่คุณไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ”
ความเจ็บปวดเกิดขึ้นเงียบๆ
โดยทั่วไปแล้ว คนเป็นโรควิตกกังวลจะมีประสบการณ์บ่อยครั้ง มันสามารถกระตุ้นให้พวกเขาตื่นตัวเกือบตลอดเวลา และโดยเหตุที่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก คนที่ป่วยด้วยโรควิตกกังวลมักไม่ได้แบ่งปันให้ใครรับรู้ว่า มันทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไร การต้องทำงานและเกิดความวิตกกังวล จะกลายเป็นเรื่องยากในการตั้งหลัก ผ่อนคลาย และเพลิดเพลินใจ ลียังเพิ่มเติมต่อไปว่า “คนทั่วไปอาจไม่ค่อยพูดบ่นเกี่ยวกับความรู้สึกหวาดกลัวให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆ รับรู้ แต่อาการผิดปกติสามารถคงอยู่กับพวกเขาเกือบตลอดทั้งวัน และเกือบทุกวันด้วย”