ข่าวการประกาศผนึกกำลังระหว่าง NPP และบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศจีน เพื่อจัดตั้งบริษัท Kinghill Food เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน พร้อมกับขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศจีน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนจีน ย่อมไม่ใช่เพียงข่าวประชาสัมพันธ์ที่จะมองข้ามไปได้
หากแต่ในความเป็นจริงจังหวะก้าวของทั้ง NPP และกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ กำลังเป็นภาพสะท้อนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่แหลมคม และการรุกคืบเพื่อขยายบริบททางธุรกิจเข้าสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อขนาดใหญ่ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 20-30 ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการขยายร้านอาหารต่างๆ รวมถึงการพัฒนาร้านอาหารในประเทศจีนมากขึ้น
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศจีน ที่ร่วมทุนจัดตั้ง Kinghill Food ในครั้งนี้เป็นผู้ประกอบการด้านธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ และชอปปิ้งมอลล์ รายใหญ่สุดของประเทศจีน การร่วมทุนในครั้งนี้จึงเป็นประหนึ่งการเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ร่วมทุนทั้งสองฝ่าย ที่พร้อมจะต่อยอดธุรกิจอาหารรองรับจำนวนประชากรของจีนที่มีสูงถึง 1,400 ล้านคน และรูปแบบประพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป
บริษัท Kinghill Food ที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ บริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในประเทศจีน จะถือครองสัดส่วนร้อยละ 51 และอีกร้อยละ 49 ถือครองโดย NPP โดยวางเป้าหมายความร่วมมือไว้ที่การนำแบรนด์ร้านอาหารชั้นนำ ทั้งในมิติของอาหารไทย อาหารทะเล ที่มีอยู่ในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจำหน่ายในร้านอาหารในประเทศจีน ควบคู่กับแผนการขยายแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศจีนอีกด้วย
ตามแผนดำเนินการของ Kinghill Food ระบุว่าจะเริ่มเปิดบริการสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และจะขยายสาขาเพิ่มเติมไปสู่ปักกิ่ง เฉิงตู ฉงชิ่ง เซินเจิ้น ซึ่งได้รับการประเมินว่าเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเติบโตและมีโอกาสทางธุรกิจสูงจากผลของพฤติกรรมการบริโภคและรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น
บทบาทของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความแข็งแกร่ง และมีการลงทุนไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีนนับเป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่ม CP ใช้เป็นฐานธุรกิจกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง CP มีการลงทุนที่หลากหลายทั้งธุรกิจอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ CP ได้ขยายและลงหลักปักฐานไว้ในหัวเมืองต่างๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นที่เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ลั่วหยาง ซีอาน เจิ้งโจว เหอเฟย์ อู๋ซี และยังคงขยายสู่เมืองอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ Super Brand Mall และ Touch Mall
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจ CP ซึ่งนับเป็นบริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารในประเทศจีนแล้ว ยังถือเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในการจัดส่งอาหารไปยังร้านอาหารต่างประเทศในประเทศจีนเกือบทั้งหมด และยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น China Cuisine Association และ China Hospitality Association ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีนด้วย
ส่วน NPP หรือ “นิปปอนแพ็ค” ผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ครั้งล่าสุด เมื่อช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทตัดสินใจดึงผู้บริหารหนุ่ม “ศุภจักร ไตรรัตโนภาส” อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน เข้ามานั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ “เอ็นพีพีจี” และลดทอนภาพธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจอาหารแบบครบวงจร ในฐานะที่เป็นธุรกิจหลัก (Core Business) โดยมีแบรนด์ร้านอาหารอยู่ในมือ ทั้ง A&W มิยาบิ มิสเตอร์โจนส์ และประกาศเตรียมเงินที่จะซื้อกิจการร้านอาหารเข้ามาเติมเต็มพอร์ตอย่างน้อยอีก 4 แบรนด์ในช่วงปี 2561 นี้
แม้ว่าธุรกิจอาหารและธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ทั้งโครงสร้างทางการเงิน ทีมงานและกลุ่มพันธมิตร แต่ทั้ง 2 ธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตในระดับสูง ขณะที่การควบรวมกิจการกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่สร้างการเติบโต และช่วยในด้านการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เคยกล่าวหลังจากเข้ารับตำแหน่งว่า ธุรกิจประเภทอาหารสามารถสร้างอัตรากำไร (มาร์จิน) ที่ดีแบบก้าวกระโดด แตกต่างจากธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ที่สามารถสร้างรายได้เติบโตแบบทรงตัว เฉลี่ยปีละไม่เกิน 10% โดยปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากปี 2560 ที่มีรายได้ประมาณ 1,190 ล้านบาท ตามแนวโน้มธุรกิจอาหารที่เติบโตต่อเนื่อง
เป้าหมายใหม่ของ NPP นอกจากการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน หรือ Quick Service Restaurants (QSR) ที่มีไลน์ร้านอาหารทั้งคาว-หวาน ทั้งฟาสต์ฟู้ด อาหารอินเตอร์ อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย คือ การรุกตลาดทั้งในประเทศและเร่งขยายฐานสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบลูโอเชียนอย่าง “จีน” ซึ่งการร่วมลงทุนใน Kinghill Food กำลังเป็นภาพสะท้อนจังหวะก้าวและการต่อยอดยุทธศาสตร์ธุรกิจของ NPP ได้เป็นอย่างดี
ความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทในเครือของ CP ในประเทศจีน กับ NPP นับได้ว่า NPP เป็นบริษัทไทยรายแรกที่ผนึกกำลังการร่วมทุนในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ NPP เป็นอย่างมาก และเป็นประหนึ่งสปริงบอร์ดทางธุรกิจครั้งสำคัญสำหรับ NPP เพราะนั่นหมายความว่า NPP กำลังมีพันธมิตรที่มีฐานธุรกิจครบวงจรที่เสริมความแข็งให้กับ NPP ในอนาคต และเป็นจังหวะก้าวที่น่าสนใจจับตามองของ NPP นับจากนี้
“การขยายตลาดในครั้งนี้จะส่งผลบวกกับ NPP และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับร้านอาหารชั้นนำของไทยทั้งอาหารไทย อาหารทะเล และอาหารอื่นๆ อีกหลายร้าน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้” ศุภจักร ระบุ
ภายใต้แผนพัฒนาเชิงรุกในธุรกิจอาหารของ NPP ที่ดำเนินอยู่ทำให้ผู้บริหารของ NPP เชื่อมั่นว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าธุรกิจอาหารของ NPP จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีรายได้ 600-700 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยาย Franchise model ไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ โดยในแต่ละแบรนด์มีแผนที่จะเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 50 สาขาต่อแบรนด์
ก่อนหน้านี้ NPP ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ CP B&F ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ในการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า อาทิ กาแฟ เครื่องดื่ม ขนม ไอศกรีม บิงซู ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายช่องทางแล้ว ยังถือว่าเป็นการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจไปในคราวเดียว
นอกจากนี้ NPP ยังได้เซ็น MOU เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด ร้านอาหาร A&W ในรูปแบบ Mini Store และ Kiosk ในสถานีให้บริการน้ำมันของเชลล์ ประเทศไทย (Shell) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และคาดว่าในอนาคต NPP จะผนึกพันธมิตรในการเพิ่มช่องทางการขยายธุรกิจอาหารตามแผนขยายธุรกิจให้กว้างขวางขึ้นอีก
ขณะที่การร่วมมือกับกลุ่ม CP ประเทศจีนครั้งนี้ จะเป็นประหนึ่งหมุดที่ตอกย้ำการเปิดร้านอาหารที่จะทยอยเปิดได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะผลักดันให้บริษัทร่วมทุนในนาม Kinghill Food และบริษัทย่อยอื่นๆ ในประเทศจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใน 4-5 ปีข้างหน้าด้วย
จังหวะก้าวของ NPP ภายใต้การนำของ ศุภจักร ไตรรัตโนภาส อาจเป็นภาคต่อเนื่องหลังยุคของ “สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย” ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2555 และใช้เวลากว่า 5 ปี ในการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ให้นิปปอนแพ็คกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่ง จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ไปสู่ธุรกิจสื่อโฆษณา และเริ่มรุกเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
หากแต่ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของ NPP บนยอดเนินของ Kinghill Food อาจจะเป็นบททดสอบพิสูจน์ครั้งสำคัญของ ศุภจักร ไตรรัตโนภาส ว่าจะใช้ทักษะในฐานะอดีตที่ปรึกษาทางการเงินมาหนุนนำและสร้างความแตกต่างให้กับ NPP ในธุรกิจอาหารได้มากน้อยเพียงใด