วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2024
Home > Cover Story > NPP อาศัย CP เป็นสปริงบอร์ด ขึ้นยอดเนิน Kinghill Food

NPP อาศัย CP เป็นสปริงบอร์ด ขึ้นยอดเนิน Kinghill Food

ข่าวการประกาศผนึกกำลังระหว่าง NPP และบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศจีน เพื่อจัดตั้งบริษัท Kinghill Food เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน พร้อมกับขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศจีน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนจีน ย่อมไม่ใช่เพียงข่าวประชาสัมพันธ์ที่จะมองข้ามไปได้

หากแต่ในความเป็นจริงจังหวะก้าวของทั้ง NPP และกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ในครั้งนี้ กำลังเป็นภาพสะท้อนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่แหลมคม และการรุกคืบเพื่อขยายบริบททางธุรกิจเข้าสู่ตลาดที่มีกำลังซื้อขนาดใหญ่ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 20-30 ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นการเพิ่มศักยภาพในการขยายร้านอาหารต่างๆ รวมถึงการพัฒนาร้านอาหารในประเทศจีนมากขึ้น

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศจีน ที่ร่วมทุนจัดตั้ง Kinghill Food ในครั้งนี้เป็นผู้ประกอบการด้านธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ และชอปปิ้งมอลล์ รายใหญ่สุดของประเทศจีน การร่วมทุนในครั้งนี้จึงเป็นประหนึ่งการเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ร่วมทุนทั้งสองฝ่าย ที่พร้อมจะต่อยอดธุรกิจอาหารรองรับจำนวนประชากรของจีนที่มีสูงถึง 1,400 ล้านคน และรูปแบบประพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป

บริษัท Kinghill Food ที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ บริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในประเทศจีน จะถือครองสัดส่วนร้อยละ 51 และอีกร้อยละ 49 ถือครองโดย NPP โดยวางเป้าหมายความร่วมมือไว้ที่การนำแบรนด์ร้านอาหารชั้นนำ ทั้งในมิติของอาหารไทย อาหารทะเล ที่มีอยู่ในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจำหน่ายในร้านอาหารในประเทศจีน ควบคู่กับแผนการขยายแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศจีนอีกด้วย

ตามแผนดำเนินการของ Kinghill Food ระบุว่าจะเริ่มเปิดบริการสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และจะขยายสาขาเพิ่มเติมไปสู่ปักกิ่ง เฉิงตู ฉงชิ่ง เซินเจิ้น ซึ่งได้รับการประเมินว่าเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเติบโตและมีโอกาสทางธุรกิจสูงจากผลของพฤติกรรมการบริโภคและรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการใช้ชีวิตและรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น

บทบาทของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความแข็งแกร่ง และมีการลงทุนไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีนนับเป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่ม CP ใช้เป็นฐานธุรกิจกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง CP มีการลงทุนที่หลากหลายทั้งธุรกิจอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ CP ได้ขยายและลงหลักปักฐานไว้ในหัวเมืองต่างๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นที่เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ลั่วหยาง ซีอาน เจิ้งโจว เหอเฟย์ อู๋ซี และยังคงขยายสู่เมืองอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ Super Brand Mall และ Touch Mall

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจ CP ซึ่งนับเป็นบริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารในประเทศจีนแล้ว ยังถือเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ในการจัดส่งอาหารไปยังร้านอาหารต่างประเทศในประเทศจีนเกือบทั้งหมด และยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น China Cuisine Association และ China Hospitality Association ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีนด้วย

ส่วน NPP หรือ “นิปปอนแพ็ค” ผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ครั้งล่าสุด เมื่อช่วงต้นปี 2561 ที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทตัดสินใจดึงผู้บริหารหนุ่ม “ศุภจักร ไตรรัตโนภาส” อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน เข้ามานั่งตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร พร้อมเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ “เอ็นพีพีจี” และลดทอนภาพธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง เพื่อเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจอาหารแบบครบวงจร ในฐานะที่เป็นธุรกิจหลัก (Core Business) โดยมีแบรนด์ร้านอาหารอยู่ในมือ ทั้ง A&W มิยาบิ มิสเตอร์โจนส์ และประกาศเตรียมเงินที่จะซื้อกิจการร้านอาหารเข้ามาเติมเต็มพอร์ตอย่างน้อยอีก 4 แบรนด์ในช่วงปี 2561 นี้

แม้ว่าธุรกิจอาหารและธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ทั้งโครงสร้างทางการเงิน ทีมงานและกลุ่มพันธมิตร แต่ทั้ง 2 ธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตในระดับสูง ขณะที่การควบรวมกิจการกลายเป็นช่องทางหนึ่งที่สร้างการเติบโต และช่วยในด้านการสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

ศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เคยกล่าวหลังจากเข้ารับตำแหน่งว่า ธุรกิจประเภทอาหารสามารถสร้างอัตรากำไร (มาร์จิน) ที่ดีแบบก้าวกระโดด แตกต่างจากธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง ที่สามารถสร้างรายได้เติบโตแบบทรงตัว เฉลี่ยปีละไม่เกิน 10% โดยปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% จากปี 2560 ที่มีรายได้ประมาณ 1,190 ล้านบาท ตามแนวโน้มธุรกิจอาหารที่เติบโตต่อเนื่อง

เป้าหมายใหม่ของ NPP นอกจากการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน หรือ Quick Service Restaurants (QSR) ที่มีไลน์ร้านอาหารทั้งคาว-หวาน ทั้งฟาสต์ฟู้ด อาหารอินเตอร์ อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย คือ การรุกตลาดทั้งในประเทศและเร่งขยายฐานสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะบลูโอเชียนอย่าง “จีน” ซึ่งการร่วมลงทุนใน Kinghill Food กำลังเป็นภาพสะท้อนจังหวะก้าวและการต่อยอดยุทธศาสตร์ธุรกิจของ NPP ได้เป็นอย่างดี

ความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทในเครือของ CP ในประเทศจีน กับ NPP นับได้ว่า NPP เป็นบริษัทไทยรายแรกที่ผนึกกำลังการร่วมทุนในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ NPP เป็นอย่างมาก และเป็นประหนึ่งสปริงบอร์ดทางธุรกิจครั้งสำคัญสำหรับ NPP เพราะนั่นหมายความว่า NPP กำลังมีพันธมิตรที่มีฐานธุรกิจครบวงจรที่เสริมความแข็งให้กับ NPP ในอนาคต และเป็นจังหวะก้าวที่น่าสนใจจับตามองของ NPP นับจากนี้

“การขยายตลาดในครั้งนี้จะส่งผลบวกกับ NPP และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับร้านอาหารชั้นนำของไทยทั้งอาหารไทย อาหารทะเล และอาหารอื่นๆ อีกหลายร้าน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้” ศุภจักร ระบุ

ภายใต้แผนพัฒนาเชิงรุกในธุรกิจอาหารของ NPP ที่ดำเนินอยู่ทำให้ผู้บริหารของ NPP เชื่อมั่นว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าธุรกิจอาหารของ NPP จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีรายได้ 600-700 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยาย Franchise model ไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ โดยในแต่ละแบรนด์มีแผนที่จะเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 50 สาขาต่อแบรนด์

ก่อนหน้านี้ NPP ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ บริษัท ซีพี บีแอนด์เอฟ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ CP B&F ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ ในการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้า อาทิ กาแฟ เครื่องดื่ม ขนม ไอศกรีม บิงซู ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายช่องทางแล้ว ยังถือว่าเป็นการเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจไปในคราวเดียว

นอกจากนี้ NPP ยังได้เซ็น MOU เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด ร้านอาหาร A&W ในรูปแบบ Mini Store และ Kiosk ในสถานีให้บริการน้ำมันของเชลล์ ประเทศไทย (Shell) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น และคาดว่าในอนาคต NPP จะผนึกพันธมิตรในการเพิ่มช่องทางการขยายธุรกิจอาหารตามแผนขยายธุรกิจให้กว้างขวางขึ้นอีก

ขณะที่การร่วมมือกับกลุ่ม CP ประเทศจีนครั้งนี้ จะเป็นประหนึ่งหมุดที่ตอกย้ำการเปิดร้านอาหารที่จะทยอยเปิดได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะผลักดันให้บริษัทร่วมทุนในนาม Kinghill Food และบริษัทย่อยอื่นๆ ในประเทศจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใน 4-5 ปีข้างหน้าด้วย

จังหวะก้าวของ NPP ภายใต้การนำของ ศุภจักร ไตรรัตโนภาส อาจเป็นภาคต่อเนื่องหลังยุคของ “สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย” ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2555 และใช้เวลากว่า 5 ปี ในการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ๆ ให้นิปปอนแพ็คกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่ง จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ไปสู่ธุรกิจสื่อโฆษณา และเริ่มรุกเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม

หากแต่ก้าวกระโดดครั้งใหม่ของ NPP บนยอดเนินของ Kinghill Food อาจจะเป็นบททดสอบพิสูจน์ครั้งสำคัญของ ศุภจักร ไตรรัตโนภาส ว่าจะใช้ทักษะในฐานะอดีตที่ปรึกษาทางการเงินมาหนุนนำและสร้างความแตกต่างให้กับ NPP ในธุรกิจอาหารได้มากน้อยเพียงใด

ใส่ความเห็น