วันจันทร์, ธันวาคม 2, 2024
Home > On Globalization > เอบีม คอนซัลติ้ง ชี้ 5 เทรนด์ใหญ่แห่งอนาคตที่ธุรกิจต้องจับตามอง

เอบีม คอนซัลติ้ง ชี้ 5 เทรนด์ใหญ่แห่งอนาคตที่ธุรกิจต้องจับตามอง

เอบีม คอนซัลติ้ง ชี้ 5 เทรนด์ใหญ่แห่งอนาคตที่ธุรกิจต้องจับตามอง รู้ก่อน ปรับก่อนเพื่อความสำเร็จในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล

ในยุคที่การแข่งขันในสมรภูมิการดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างดุเดือด การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจเพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน การรับรู้ความเคลื่อนไหวแบบรอบด้าน 360 องศาจะช่วยสร้างความได้เปรียบในด้านการแข่งขันเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถกำหนดทิศทางขององค์กรและภาพรวมของธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และสามารถปรับตัวได้ก่อนใคร

ล่าสุด บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำระดับโลก ได้จัดงาน Transforming the Future: Leveraging RISE with SAP on AWS ร่วมกับพันธมิตรอย่าง SAP และ AWS เพื่อชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการปรับตัวและการทำ Digital Transformation เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับธุรกิจ

ในงานสัมมนาดังกล่าว คุณสุปรีดา จิรวงศ์ศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอบีม คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ “5 เทรนด์ใหญ่ในอนาคต” ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม โดยสามารถสรุปและถอดบทเรียนสำคัญได้ดังนี้:

1. Cloud Adoption

การปรับตัวเพื่อการใช้งานระบบคลาวด์หรือ Cloud Adoption เป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่กำลังจะมาแรง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น การใช้ระบบคลาวด์ไม่เพียงแค่ช่วยให้การจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเชื่อมต่อระบบงานต่าง ๆ ในองค์กรให้ทำงานร่วมกันได้อย่างทันสมัยและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจในอนาคต โดยในปี 2026 คาดว่ามูลค่าของการใช้ Cloud จะสูงถึง 1 ล้านล้าน USD นอกจากนี้ การนำระบบคลาวด์มาใช้ยังช่วยลดขั้นตอนการเดินทางของข้อมูลและลดภาระงานด้านการจัดการข้อมูล (Labor) ทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2. Process Automation

การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อลดภาระงานของบุคลากรในงานที่ทำเป็นประจำและมีแบบแผนการทำงานที่แน่นอน (Routine work) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล ระบบ Automation ยังสามารถลดข้อผิดพลาดในการทำงาน และเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำงาน ช่วยให้บุคลากรสามารถใช้เวลาไปกับงานที่มีความสำคัญหรือที่สามารถสร้างมูลค่าได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสั่งการและมอนิเตอร์การทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งสามารถรายงานผลการทำงานและผลผลิตได้แบบ Real-Time ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้การติดตามผลและการตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

3. AI และ Machine Learning

87% ของผู้บริหารทั่วโลกเชื่อว่า AI และ Machine Learning จะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในภาคการเงินและการดูแลสุขภาพ ที่สามารถใช้ AI เพื่อประเมินความเสี่ยง, วิเคราะห์ข้อมูล, หรือแม้กระทั่งช่วยในการวินิจฉัยทางการแพทย์

4. Data Driven Decision

การตัดสินใจที่อ้างอิงข้อมูลจริงจะทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้นในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่ทันสมัยและแม่นยำจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

5. Sustainability & ESG

ในปัจจุบัน การคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และการกำกับดูแล หรือที่เรียกว่า ESG (Environmental, Social, and Governance) ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เนื่องจากนักลงทุนในปัจจุบันมองหาความยั่งยืนในการลงทุน ซึ่งการปรับตัวให้เข้ากับแนวทางการทำธุรกิจที่ยั่งยืนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

จากทั้ง 5 เทรนด์ใหญ่แห่งอนาคตที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกภาคส่วนต้องเผชิญและปรับตัว เพราะเทรนด์เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของอนาคต แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันและจะทวีคูณความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น หากองค์กรไม่เริ่มให้ความสำคัญในตอนนี้ อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการแข่งขันในยุคที่เน้นความเร็วมากกว่าความแข็งแกร่ง ซึ่งไม่ใช่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” แต่เป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า”

ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรจะปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างไร?

คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบ เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยคุณสุปรีดาได้แนะนำโซลูชันในการปรับตัวผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอน ได้แก่:

Step 1: Manage Data โดยการทำ Enterprise Transformation

การสร้างความเข้มแข็งภายในองค์กรให้มีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ผ่านการผสานระหว่างการติดตั้งและการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Digital Transformation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทันสมัย โดยการสร้างองค์กรให้เป็น Smart Enterprise ที่สามารถทรานส์ฟอร์มจากระบบแอนะล็อกไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างไร้รอยต่อ สร้างฐานข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้บนข้อมูลชุดเดียวกัน และทำงานได้อย่างสอดประสานและมีประสิทธิภาพ

Step 2: Leverage Data

การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลภายในองค์กรเพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว โดยการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม

Step 3: Accelerate Transformation

การส่งมอบคุณค่าของการทรานส์ฟอร์มไปยังลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน 3 ด้าน ได้แก่

1. การเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Transformation)

2. การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain Transformation)

3. การเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อความยั่งยืน (Social Transformation)

โดยการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในระยะยาว คุณสุปรีดา กล่าวเพิ่มเติมว่า “การทำงานในรูปแบบเดิมไม่เพียงพอที่จะรับประกันการอยู่รอดในยุคที่การแข่งขันวัดกันด้วยความเร็ว สิ่งที่ช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้คือการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็น Intelligent Enterprise ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตได้”