เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล ตอกย้ำการเป็น Global Connector สยายปีกเปิดสำนักงานที่ซาอุฯ เจาะกิกะโปรเจกต์ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ชูจุดแข็งโซลูชั่นซัพพลายเชนครบวงจร-ยืดหยุ่นรับทุกความท้าทาย
เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล (SCG International) ประกาศตั้งสำนักงานในซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ ชู 3 กลยุทธ์สยายปีกบุกริยาด ตอกย้ำการเป็น “ผู้นำพันธมิตรการค้าครบวงจรระดับโลก” พร้อมเป็น Global Connector เชื่อมต่อกับคู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก รับตลาดที่จะเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต โดยนำร่องเปิดตัวในงาน Thailand Mega Fair & Festival 2023 ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัด Panel Discussion ในหัวข้อ Unleashing KSA’s Growth Potential : The Resilience of Supply Chains in Action โดยได้รับเกียรติจากนายดามพ์ บุญธรรม เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ร่วมกล่าวเปิดงาน พร้อมกันนี้ ยังได้รับเกียรติจาก นายฟาฮัด อัลฮาเชม กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง กระทรวงการลงทุนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เข้าร่วมพูดคุยถึง แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจซาอุฯ ในอนาคต พร้อมด้วยตัวแทนจากหอการค้าไทยและผู้ประกอบการภาคผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย
นายอบิจิต ดัดต้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ เปิดสำนักงานใหม่ ณ กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ถือเป็นบริษัทจากไทยอันดับต้นๆ ที่ไปตั้งสาขาที่ซาอุฯ เนื่องจากมองเห็นแนวทางการสร้างโอกาสการลงทุนธุรกิจใหม่ในตลาดซาอุฯ และอินเดีย จากอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากซาอุฯ จะเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค ด้วยมูลค่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่สูงถึง 118,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง ติดอันดับ 17 ของโลกด้วย อีกทั้งนโยบาย “Saudi Vision 2030” ยังทำให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาน้ำมัน กระตุ้นการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่มากมายในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเปิดประตูทางการค้าและการลงทุนอย่างเปิดกว้างกับนานาประเทศ ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ของเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ที่ตั้งเป้าจะขยายตลาดใหม่ไปสู่ภูมิภาค SAMEA (เอเซียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา) อย่างไรก็ตาม ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้การบริหารจัดการซัพพลายเชนที่ครบวงจรและมีความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นกลยุทธ์สำคัญในการบุกตลาดซาอุฯ ครั้งนี้ คือ
1. “ธุรกิจซัพพลายเชน” ที่พร้อมช่วยบริหารจัดการเรื่องซัพพลายเชนให้พาร์ทเนอร์ ได้อย่างครบวงจรผ่านการผลักดันเครือข่ายธุรกิจของเครือเอสซีจีทั้งหมด ครอบคลุมทั้งธุรกิจก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างอาคาร กระดาษ & แพคเกจจิ้ง ตลอดจนวัตถุดิบและชิ้นส่วนอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีแผนที่จะขนส่งสินค้าจากซาอุฯ ส่งกระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก และเป็นผู้จัดหาสินค้าจากทวีปอื่นๆ เข้ามายังซาอุฯ เช่นกัน
2. “การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทคู่ค้าไทย” เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นระหว่างไทย-ซาอุฯ อาทิ การจับมือกับพันธมิตผู้ประกอบการซาวไทยที่มาร่วมออกงาน Thailand Mega Fair & Festival ด้วยกัน
3. “มองหาโอกาสทางธุรกิจจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่” โดยเฉพาะโอกาสในธุรกิจก่อสร้าง เน้นการเจาะลูกค้าโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (giga project)
“เราเชื่อว่าด้วยจุดแข็งของเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ที่มีประสบการณ์ด้านซัพพลายเชนกว่า 45 ปี บวกกับการมีเครือข่ายพาร์ตเนอร์ในกว่า 50 ประเทศ จะสร้างเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้าและลูกค้าในซาอุฯว่าเราสามารถให้บริการ จัดหาสินค้า จากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพและ น่าเชื่อถือ พร้อมนำเสนอโซลูชั่นการจัดหาสินค้าแบบครบวงจรให้ตอบสนองต่อความต้องการที่เฉพาะของธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยพิ่มศักยภาพและความสำเร็จให้ กับเจ้าของธุรกิจอย่างยั่งยืน” นายอบิจิตกล่าว
นายอบิจิต ยังกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจในฐานะกลุ่มบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอาเชียนอย่างต่อเนื่อง จึงมีแนวคิดที่จะต่อยอดขยายธุรกิจไปในระดับสากล โดยเฉพาะใน SAMEA โดยก่อนหน้านี้ได้มีการการจัดตั้ง The Dubai Hub ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดหาและขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาคตะวันออกกลาง เอเชียใต้ และแอฟริกา โดยหลายชาติในภูมิภาคนี้มีลักษณะการเติบโตของตลาดและเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ดังนั้น เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ จึงได้วางกลยุทธ์ และต่อยอดจุดแข็งของการดำเนินงานบริษัทฯ ที่ผ่านมา ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเข้าตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2024
การดำเนินการดังกล่าว อาทิ ตั้งเป้าให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นฮับศูนย์กลางซัพพลายเชนในการขับเคลื่อนการค้าและเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างชาติในภูมิภาค SAMEA โดยเฉพาะ ซึ่งแนวโน้มของธุรกิจกำลังเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ภายหลังจากทางเอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ได้จัดงานสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ CEO Night กับกลุ่มธุรกิจชั้นนำในตะวันออกกลางเมื่อช่วงกลางปีนี้ที่เมืองดูไบ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี และมีแผนความร่วมมือทางธุรกิจอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในขณะที่ประเทศ “บังกลาเทศ” นั้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเป็นคู่ค้าของเอสซีจี อินเตอร์ฯ ได้อย่างเด่นชัดมากว่า โดยบริษัทเข้ามาช่วยยกระดับการให้บริการธุรกิจและตอบโจทย์ทางการค้าแก่ลูกค้าได้ด้วยโซลูชั่น Value-Added ที่สามารถบริหารจัดการจัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทไปยังบริษัทชั้นนำในบังกลาเทศ โดยตอบสนองความต้องการในการทำธุรกิจทางซัพพลายเชนของลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่วน “อินเดีย” นั้น ทางแบรนด์ได้เตรียมตัวเปิดไลน์สินค้าอิฐมวลเบา (ALC) ออกสู่ตลาดภายในเดือน มี.ค. 2024 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญหลังจากได้ร่วมทุน