วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
Home > New&Trend > แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ออกโรงแนะแรงงานรับมือ ฝ่าเศรษฐกิจซบ-จีดีพีโตต่ำ 2%

แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ออกโรงแนะแรงงานรับมือ ฝ่าเศรษฐกิจซบ-จีดีพีโตต่ำ 2%

แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ออกโรงแนะแรงงานรับมือ ฝ่าเศรษฐกิจซบ-จีดีพีโตต่ำ 2% ภาคธุรกิจส่งสัญญาณชะลอตัว ผู้ประกอบการรัดเข็มขัด หวั่นสะเทือนตลาดแรงงานปีนี้

จากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยและทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 62 จนถึงไตรมาสแรกปี 63 เมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตราเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจไทย อยู่ที่ 3.3% แต่ในปีที่ผ่านมากับปี 63 มีการส่งสัญญาณชะลอตัวโดยมีปัจจัยจากเศรษฐกิจโลกและในประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุปัจจัยลบที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจประเทศไทยในปีนี้ มี 3 ปัจจัยหนักๆ ได้แก่ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด19 อีกปัจจัยจะเป็นเรื่องภาวะภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณปี 63 ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวต่ำกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังจะต้องติดตามต่ออีกว่าการแพร่ระบาดของ โควิด19 จะกินระยะเวลาอีกนานแค่ไหน หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อเนื่องก็จะมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวต่ำกว่า 2%

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัจจัยลบโดยเฉพาะโรคระบาดก็คือ ธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีรายได้เฉลี่ยปีละ 2.9 ล้านล้านบาทคิดเป็น 20% ของจีดีพีเกี่ยวข้องกับทั้งโรงแรม ภัตตาคาร ค้าปลีก ขนส่ง และอื่นๆ คิดเป็น 20% ของการจ้างงานรวมภายในประเทศ ซึ่งภายหลังการเกิดโรคระบาดตลาดแรงงานส่งสัญญาณชัดโดยมีคาดการณ์ว่าการจ้างงานในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบ จากข้อมูลแรงงานในการจ้างงานของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แบ่งเป็น ภาคการท่องเที่ยว 0.5 ล้านคนหรือ 1.2% ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว 7.2 ล้านคน หรือ 19.1% ภาคการผลิต 6.2 ล้านคนหรือ 16.5% ภาคการเกษตร 11.7 ล้านคนหรือ 31.1% และอื่นๆ 12 ล้านคนหรือ 32%

แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญตลาดแรงงานเชิงนวัตกรรม สรุปภาพรวมในปีนี้ว่า สถานการณ์ตลาดแรงงานในปีนี้เตรียมรับมือทั้งจากสงครามการค้าและวิกฤตโรคระบาดไวรัสโคโรนา และจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงค์ชาติ รวมทั้งนักวิชาการ ทำให้ผู้ประกอบการและแรงงานในขณะนี้ต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่แน่ใจว่าจะยืดเยื้ออีกนานเท่าใด อีกทั้งในส่วนของการจ้างงานเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวเพราะในหลายธุรกิจมีการรัดเข็มขัดบริหารจัดการ ลดต้นทุนในด้านที่ไม่จำเป็น ทางด้านการจ้างงานเข้มงวดมากขึ้นแรงงานที่คัดเลือกมาทำงานจะต้องเป็น Multiple skill ดังนั้นการพัฒนาและเสริมทักษะแรงงานในสายงานจึงมีความสำคัญมาก

สำหรับทิศทางแรงงานและการจ้างงานในครึ่งปีแรก ยังส่งสัญญาณชะลอตัวอยู่ ไม่มีภาพของการขยายโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างงานที่มาทดแทน แต่ยกเว้นบางธุรกิจที่อยู่ในกระแสการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งสะท้อนภาพของยุคดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่นที่มีความต้องการกำลังคนเฉพาะทาง อาทิ ธุรกิจด้านที่ปรึกษา ธุรกิจด้านกฎหมาย เป็นต้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี และธุรกิจขนส่งกับโลจิสติกส์ ซึ่งหากแรงงานที่ทำงานในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะไม่ได้รับผลกระทบเพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโตและเป็นดาวรุ่ง

ล่าสุด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย จัดทำผลสำรวจ 10 อันดับสายงานที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน (นายจ้าง) ดังนี้ อันดับหนึ่ง สายงานขายและการตลาด 22.56% อันดับสองสายงานบัญชีและการเงิน 12.61% อันดับสามงานระยะสั้นต่างๆ (Temporary & Contract) 10.39% อันดับสี่งานธุรการ 9.39% อันดับห้า งานไอที 8.83% อันดับหกสายงานด้านการผลิต 8.72% อันดับเจ็ดสายงานวิศวกร 8.33% อันดับแปดงานขนส่งและงานโลจิสติกส์ 4.67% อันดับเก้าสายงานบริการลูกค้า 4.39% และสุดท้ายสายงานทรัพยากรบุคคล 4.33% จากผลการจัดอันดับสายงานที่เนื้อหอมมากที่สุดติดอันดับ 1 ในช่วง 3 ปีติดต่อกัน กลุ่มงานขายและการตลาด สืบเนื่องสถานการณ์เศรษฐกิจ การส่งออก และผลพวงจากสงครามการค้าผลักดันให้สายงานการขายเข้ามามีบทบาทในการนำเสนอและสื่อสารระหว่างบุคคลโดยเฉพาะการขายสินค้าหรือบริการบางประเภทที่ต่อมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ส่วนสายงานด้านบัญชีและการเงิน องค์กรมีความต้องการเพราะจะต้องมาในการวางแผนและบริหารจัดการต้นทุน การวางแผนภาษีและการลงทุนต่างๆ ส่วนกลุ่มงานที่น่าจับตามองและโดดเด่นในปีนี้คือ งานระยะสั้นต่างๆ (Temporary & Contract) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการจ้างงานในปัจจุบัน เนื่องจากการจากงานในกลุ่มนี้จะเป็นแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง Specialist skill รูปแบบการจ้างงานนี้ช่วยองค์กรลดต้นทุนและควบคุมต้นทุนได้เป็นอย่างดี ทางด้านฝั่งแรงงานก็เริ่มเปิดใจกับรูปแบบการจ้างงานลักษณะนี้มากขึ้น เพราะไม่ได้จำกัดการทำงานแค่แรงงานนอกระบบ แต่แรงงานที่ทำงานประจำก็สามารถทำงานในลักษณะนี้ได้เพื่อเสริมรายได้จากรายได้ประจำ ส่วนสายงานด้านไอที ปัจจุบันมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดทั้งในลักษณะงานประจำ งานสัญญาจ้าง รวามถึงงาน Outsource เนื่องจากองค์กรมีความตื่นตัวและมองว่าเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตัลอย่างเต็มรูปแบบ

ทางด้านผลสำรวจากรจัดอันดับ 10 สายงานที่เป็นที่ต้องการของแรงงาน (ลูกจ้าง) ดังนี้ อันดับหนึ่ง สายงานขายและการตลาด 23.74% อันดับสองสายธุรการ 15.78% อันดับสามงานสายงานวิศวกร 9.87% อันดับสี่สายงานบัญชีและการเงิน 9.20% อันดับห้า งานขนส่งและงานโลจิสติกส์ 8.52% อันดับหกสายงานบริการลูกค้า 6.86% อันดับเจ็ดงานระยะสั้นต่างๆ (Temporary & Contract) 6.79% อันดับแปดงานการผลิต 6.37% อันดับเก้าสายงานทรัพยากรบุคคล 5.98% สุดท้ายสายงานไอที 3.08%

นอกจากนี้ ผลสำรวจในส่วนของกลุ่มธุรกิจที่ต้องการแรงงานสูงสุด 3 อันดับหลักๆ ได้แก่ งานด้านบริการ บริการเฉพาะกิจ, ขนส่งและโลจิสติกส์, การท่องเที่ยวและสันทนาการ,สื่อและสิ่งพิมพ์,การแพทย์,พาณิชย์ 25.80% รองลงมา สินค้าอุตสาหกรรม วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร, ยานยนต์, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์, เหล็ก, กระดาษและวัสดุการพิมพ์, บรรจุภัณฑ์ 17.73% และ สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน, แฟชั่น, ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ 13.39% พร้อมกันนี้แมนพาวเวอร์กรุ๊ป แนะแรงงานเร่งปรับตัวรับมือกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลง เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของการจ้างงานมากขึ้น

ทั้งนี้ จากผลสำรวจการจัดอันดับงานนี้จะช่วยให้องค์กรได้วางแผนด้านกำลังคน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเทคโนโลยี พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันด้านแรงงานก็ต้องพัฒนาตนเอง เพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ทั้ง Up-skill และ Re-skill สู่การเป็นแรงงานรุ่นใหม่ที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้และประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา พร้อมก้าวสู่การเป็น .แรงงาน 4.0” ได้อย่างมั่นใจ เต็มประสิทธิภาพและรักษาความมั่นคงในสายอาชีพอย่างยั่งยืนต่อไป

ใส่ความเห็น