ในศตวรรษที่ 17 ปารีสมีคฤหาสน์ที่เรียกว่า hôtel particulier 2,000 กว่าหลัง แต่ปัจจุบันนี้เหลืออยู่เพียง 400 หลัง
hôtel particulier เป็นคฤหาสน์ของพวกขุนนาง ถึงกระนั้น hôtel particulier หลังแรกที่พบในฝรั่งเศสคือ hôtel Jacues Cœur ฌาคส์ เกอร์ (Jacques Cœur) เป็นพ่อค้าที่ทำธุรกิจกับต่างชาติ เขาจึงนำรูปแบบอาคารของอิตาลีมาสร้างที่เมืองบูร์จส์ (Bourges) เป็นช่วงยุคเรอแนสซองซ์ (Renaissance)
เมื่อราชสำนักอยู่ที่พระราชวังลูฟวร์ (Louvre) พวกขุนนางจึงสร้างบ้านอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังในย่านเลอ มาเรส์ (Le Marais) และเกาะแซงต์–หลุยส์ (île Saint-Louis) ซึ่งอยู่คนละฟากแม่น้ำแซน (Seine) ย่านนี้จึงเต็มไปด้วย hôtels particuliers เรียกชื่อต่างๆ กันตามชื่อของผู้สร้างหรือผู้อยู่อาศัย
ขุนนางสำคัญๆ ก็สร้าง hôtel particulier หลังใหญ่หน่อย คาร์ดินัล เดอ ริเชอลิเออ (Cardinal de Richelieu) สร้างคฤหาสน์ของตนเอง และตั้งชื่อว่า Palais Cardinal ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นเจ้า และ Palais Cardinal เปลี่ยนชื่อเป็น Palais-Royal จนถึงทุกวันนี้
นิโกลาส์ ฟูเกต์ (Nicolas Fouquet) รัฐมนตรีการคลังของกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ แล้วเชิญกษัตริย์หลุยส์ที่ 14 มาชม Château de Vaux-le-Vicomte ของตน ปรากฏว่าบ้านรัฐมนตรีใหญ่โตกว่าวังของกษัตริย์ หลุยส์ที่ 14 กริ้วมาก แถมเจอลูกยุของกอลแบรต์ (Colbert) จึงเกิดระแวงว่านิโกลาส์ ฟูเกต์เบียดเบียนเงินหลวงไปสร้างบ้าน ผลก็คือนิโกลาส์ ฟูเกต์ถูกจับและประหารในที่สุด
จิลส์ แบร์เธอะโลต์ (Gilles Berthelot) เป็นเสนาบดีคลัง ได้รับมรดกเป็น château d’Azay-le-Rideau จึงซ่อมแซมแล้วใช้เป็นที่อยู่อาศัย
Place des Vosges ซึ่งแต่เดิมชื่อ Place Royale สร้างขึ้นในโอกาสที่กษัตริย์หลุยส์ที่ 13 ทรงหมั้นอานน์ โดทริช (Anne d’Autriche) รายรอบด้วย hôtel particulier ที่สวยงามที่สุดคือ Hôtel de Sully ที่ฌอง อองดรูเอต์ ดู แซร์โซ (Jean Androuet du Cerceau) แล้วขายให้มักซิมิเลียง เดอ เบตูน ดุ๊กแห่งซุลลี (Maximien de Béthune, duc de Sully) เป็น hôtel particulier ที่สามารถเดินเข้าจากถนนริโวลี (rue de Rivoli) ไปออกทาง Place des Vosges ได้ ผ่านสวนสวยที่ต้องหยุดมอง
Hôtel de Sens เป็น hôtel particulier ที่กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 5 (Charles 5) ยกให้สังฆราชแห่งเมืองซองส์ (Sens) เป็นที่พักในปารีส ภายหลังมีการทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ เคยเป็นที่พำนักของมาร์เกอริต เดอ วาลัวส์ (Marguerite de Valois) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Reine Margot หลังจากที่ศาสนจักรประกาศเป็นโมฆะการเษกสมรสกับกษัตริย์อองรีที่ 4 (Henri 4) ปัจจุบัน Hôtel de Sens เป็นที่ตั้งของห้องสมุดฟอร์เนย์ (Bibliothèque Forney) ที่รวบรวมโปสเตอร์ โฆษณาและอื่นๆ
Hôtel de Beauvais คฤหาสน์ของปิแอร์ เดอ โบเวส์ (Pierre de Beauvais) ภรรยาของเขาคือ คาเธอรีน เบลลีเอร์ (Catherine Bellier) ข้าหลวงในราชินีอานน์ โดทริช (Anne d’Autriche) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลปกครองอุทธรณ์ของปารีส (Cour administrative d’appel de Paris)
หอจดหมายเหตุ – Archives nationales ใช้ Hôtel de Rohan คฤหาสน์ของตระกูลโรออง
Hôtel de Soubise และ Hôtel de Clisson คฤหาสน์ของดุก เดอ กีส (duc de Guise) เป็นที่ตั้ง
Hôtel Salé บ้านพักของเจ้าหน้าที่ชั้นสูงผู้จัดเก็บภาษี กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (Musée Picasso)
Hôtel de Donon กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์คอญัค–เจย์ (Musée Cognacq-Jay)
มองจากเลอ มาเรส์ไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำแซนคือ เกาะแซงต์–หลุยส์ (Ïle Saint-Louis) มี hôtel particulier ที่สวยงามหลายหลัง
Hôtel Lauzunมีหลุยส์ เลอ โว (Louis Le Vau) เป็นผู้ออกแบบ ตกแต่งภายในโดยชาร์ลส์ เลอ เบริง (Charles Le Brun) และเอิซตาช เลอ ซูเออ (Eustache Le Sueur)
Hôtel Lambert คฤหาสน์ที่เป็นผลงานของสถาปนิกดังยุคนั้นคือ หลุยส์ เลอ โว (Louis Le Vau) ตกแต่งภายในโดยชาร์ลส์ เลอ เบริง (Charles Le Brun) เอิซตาช เลอ ซูเออ (Eustache Lesueur) เซบาสเตียง บูร์ดง (Sébastien Bourdon) ต่อมาดุ๊กแห่งโลเซิง (Duc de Lauzun) ซื้อจากเจ้าของเดิม แล้วเปลี่ยนเจ้าของอีกหลายคน เจ้าชายแห่งโปแลนด์ได้ซื้อไว้ช่วงหนึ่ง จัดงานหรูหราที่เป็นศูนย์รวมของอาร์ทิสท์ดังอย่างจอร์จ ซองด์ (George Sand) เฟรเดริก โชแปง (Frédéric Chopin) เออแจน เดอลาครัวซ์ (Eugène Delacroix) อัลฟงส์ เดอ ลามาร์ตีน (Alphonse de Lamartine) เอกตอร์ แบร์ลิโอซ (Hector Berlioz) ฟรานซ์ ลิสต์ (Franz Liszt) ออนอเร เดอ บัลซัก (Honoré de Balzac)
ในปี 1975 กี (Guy) และเอแลน เดอ รอธชิลด์ (Hélène de Rothschild) ซื้อ หลังจากที่กี รอธชิลด์ถึงแก่กรรมในปี 2007 คฤหาสน์นี้ขายให้แก่เอมีร์แห่งกาตาร์ และแล้วในคืนวันที่ 9 ต่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2013 เกิดไฟไหม้ Hôtel Lambert ได้รับความเสียหายมาก
เออแจน เดอ โบอาร์เนส์ (Eugène de Beauharnais) ลูกชายของโจเซฟีน (Joséphine) ซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งในปี 1803 จึงได้ชื่อว่า Hôtel de Beauharnais กลายเป็นคฤหาสน์ที่โจเซฟีนและลูกสาวมาใช้บ่อยๆ
Hôtel de Massa เป็นคฤหาสน์เล็กๆ ที่มีทางออกมาที่ชองป์เซลีเซส์ (Champs-Elysées) ในปี 1778 ชองป์เซลีเซส์เป็น “บ้านนอก” ที่ชาวปารีสมาเดินเล่น วันเวลาผ่านไป ต้นศตวรรษที่ 20 ร้านค้าผุดขึ้นเต็ม ทำให้บ้านในย่านนั้นถอยหายไป แต่ Hôtel de Massa ยังคงอยู่ เจ้าของห้างสรรพสินค้ากาเลอรีส์ ลาฟาแยต มีโครงการที่จะสร้างศูนย์การค้า จึงมีการถอด Hôtel de Massa ออกเป็นชิ้นๆ เพื่อนำไปประกอบใหม่ในเขต 14 (14ème arrondissement) ของกรุงปารีส