สมรภูมิรบเดียนเบียนฟู การเผชิญหน้าครั้งสำคัญในสงครามอินโดจีน ระหว่างกองทัพทหารฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมกับกองทัพเวียดมินห์ของขบวนการกู้ชาติเวียดนาม ในฐานะผู้ดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศอาณานิคม สงครามที่ชาวเวียดนามภาคภูมิใจว่านำมาซึ่งเอกราชของชาติอย่างแท้จริง
แต่เป็นสงครามที่ฝรั่งเศสเองไม่อยากจะจดจำ กาลเวลาผ่านมาแล้วหลายทศวรรษ วันนี้เราจะไปสัมผัสร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของการสู้รบในครั้งนั้น
เดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) คือเมืองหนึ่งในจังหวัดเดี่ยนเบียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร ทิศตะวันตกอยู่ใกล้กับชายแดนแขวงพงสาลีของประเทศลาว
เดียนเบียนฟูมีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำเนื่องจากเป็นสมรภูมิรบอันโด่งดังระหว่างฝรั่งเศสกับกองกำลังเวียดมินห์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม ค.ศ.1954 ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจนต้องถอนกำลังออกจากเวียดนามเหนือ และถือเป็นการสิ้นสุดลงของสงครามอินโดจีนครั้งแรก
เราเดินทางมายังเมืองเดียนเบียนฟูผ่านทางประเทศลาว ลัดเลาะมาเรื่อยๆ จากเวียงจันทน์ เข้าโพนสะหวัน เชียงขวาง ต่อไปยังซำเหนือ เวียงไซย เมืองงอย ล่องเรือต่อไปยังเมืองขวา ก่อนที่จะนั่งรถข้ามชายแดนต่อมายังเมืองเดียนเบียนฟู เป็นเส้นทางที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตและธรรมชาติที่ยังงดงามของลาว
บางช่วงบางตอนยังเป็นเส้นทางที่เกี่ยวโยงกับสงครามอินโดจีน อย่างแขวงเชียงขวางที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลาวซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ มีชายแดนติดกับเวียดนาม เป็นเส้นทางในการลำเลียงกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์จากเวียดนามเหนือมาสู่ขบวนการปะเทดลาว
รวมถึง “ถ้ำท่านผู้นำ” ที่เมืองเวียงไซย อดีตศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพปลดปล่อยประเทศลาว ที่ในสมัยสงครามอินโดจีน ผู้นำขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นและศูนย์บัญชาการใหญ่เพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ ที่ซึ่งสงครามยังคงทิ้งร่องรอยของมันไว้ให้เราเห็น และครั้งนี้เราจะไปที่เดียนเบียนฟู อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญของภาพสงครามอินโดจีน
จากเมืองขวาของลาวมีรถบัสนำเราไปสู่เดียนเบียนฟูของเวียดนามผ่านทางด่าน Tay Trung ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพราะเป็นทางขึ้นเขาถนนแคบ และอาจต้องเจอสภาพรถที่ผู้โดยสารและสิ่งของแน่นเอี๊ยดเต็มทุกพื้นที่ของรถ เพราะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ทั้งคนลาว คนเวียดนาม รวมถึงนักท่องเที่ยวนิยมใช้ในการเดินทางไปมาระหว่างลาวและเวียดนาม
รถบัสขนาดเล็กที่อัดแน่นไปด้วยคนและข้าวของพาเราลัดเลาะไปตามความสูงของเทือกเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนลงสู่พื้นราบมุ่งหน้าสู่เดียนเบียนฟู สองข้างทางก่อนถึงตัวเมืองเป็นทุ่งนากว้างใหญ่มีเทือกเขาทอดตัวขนาบข้างประดุจปราการทางธรรมชาติ สลับด้วยหมู่บ้านชาวไทดำ และเวียดนาม ที่แบ่งโซนกันอย่างชัดเจน จากนี้ใช้เวลาเดินทางอีกไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
เมืองเดียนเบียนฟูเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงชั้น มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ตลอดทั้งปี
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่กองทัพฝรั่งเศสเลือกใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นฐานบัญชาการทางทหารในการสู้รบกับกองทัพเวียดมินห์โดยหวังใช้เทือกเขาสูงชั้นเหล่านั้นเป็นเกราะคุ้มภัยให้กับทหารฝรั่งเศส และเพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงกองกำลังและยุทธปัจจัยระหว่างกองทัพเวียดมินห์กับขบวนการปะเทดลาว
แต่การกลับกลายเป็นว่ายอดเขาสูงชันนับพันที่กองทัพฝรั่งเศสหวังใช้เป็นเกราะคุ้มภัยนั้น ได้กลายเป็นฐานปืนใหญ่ของกองกำลังเวียดมินห์ ที่ใช้เวลาแรมปีในการลำเลียงปืนใหญ่และกำลังพลขึ้นไปตั้งมั่นบนยอดเขาและปิดล้อมฐานที่มั่นแห่งนี้ของฝรั่งเศสไว้ได้สำเร็จ พร้อมระดมยิงลงมายังที่ตั้งของกองทหารฝรั่งเศสอย่างไม่ขาดสายจนสามารถเข้ายึดฐานของฝรั่งเศสได้ทั้งหมด นำมาสู่ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจนต้องถอนกำลังออกจากเวียดนามเหนือ ถือเป็นการปิดฉากของสงครามอินโดจีนครั้งแรก
สงครามในครั้งนั้นยังคงทิ้งร่องรอยและสร้างแผลเป็นให้กับเดียนเบียนฟู แต่เป็นแผลเป็นที่ดึงดูดผู้คนที่สนใจประวัติศาสตร์สงครามได้เดินทางมาสัมผัส และศึกษาด้วยตัวเอง
ป้อมปราการ Phu An Nan หรือ ฐานทัพ A1 เนินเขาลูกย่อมๆ อดีตฐานที่มั่นและกองบัญชาการของทหารฝรั่งเศสก่อนที่จะถูกกองกำลังเวียดมินห์ยึดได้ในที่สุด เป็นจุดที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทุกวันนี้เรายังคงเห็นอุโมงค์หลบภัยของทหารที่เป็นทางเดินซับซ้อนขุดเจาะเข้าไปในภูเขา ซึ่งเวียดนามดูแลรักษาไว้ในสภาพค่อนข้างดี นอกจากนี้ยังมีหลุมระเบิดขนาดใหญ่ และรถถังจัดแสดงไว้ด้วย ที่แห่งนี้นับเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีสุสานทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นที่ได้รับการดูแลอย่างดี แต่เดินเข้าไปแล้วความรู้สึกหดหู่เข้ามาแทรกคงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ไกลกันนักมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ “เจียน ทั่ง ลิด ซือ” หรือชัยชนะแห่งเดียนเบียนฟู จัดแสดงเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ของกองทัพปลดแอกเวียดนามให้เราได้ชมกัน
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่พลาดไม่ได้คือ “Dien Bien Phu Victory Monument” หรืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของเดียนเบียนฟู เป็นที่ระลึกถึงชัยชนะของเวียดนามที่มีเหนือกองทหารฝรั่งเศส สร้างอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง เราสามารถชมวิวเมืองเดียนเบียนฟูแบบพาโนราม่าได้จากจุดนี้
ไม่เพียงแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์สงครามเท่านั้นที่น่าสนใจ วิถีชีวิตของชาวไทดำซึ่งเป็นชนชาติที่เข้ามาอยู่ที่เดียนเบียนฟูตั้งแต่อดีตก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ผมที่เกล้าเป็นมวยสูงและซิ่นสีดำที่สวมใส่คือเอกลักษณ์ของชาวไทดำ หมู่บ้านชาวไทดำและตลาดไทดำคือสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด
ตลาดที่เดียนเบียนฟูมีอยู่ 2 ตลาดใหญ่ๆ ที่ซึ่งเราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของพืชผักผลไม้และข้าวปลาอาหารของเมืองเดียนเบียนฟู เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง ส่วนจะถูกปากหรือไม่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล ส่วนเครื่องอุปโภคบางอย่างที่วางขายยังคงเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเป็นหลัก
สำหรับเรื่องที่พัก แม้ว่าเดียนเบียนฟูจะไม่ใช่เมืองใหญ่หรือเมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม แต่ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นมีให้บริการอยู่หลายแห่ง หลายระดับราคา เรียกว่าสะดวกในการเดินหา เพราะที่พักจะกระจุกตัวอยู่ในเมือง เลือกได้ไม่ยาก
เดียนเบียนฟูในปัจจุบันยังเป็นเส้นทางสำคัญในการเดินทางต่อไปยังเวียดนามเหนืออย่าง “ซาปา” เมืองตากอากาศของฝรั่งเศสสมัยเป็นเจ้าอาณานิคม และเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งชาวเวียดนามและต่างชาติ เพราะมีรถบัสจากเดียนเบียนฟูไปซาปาไว้บริการทุกวัน หรือจะเดินทางต่อไปยังฮานอยก็สะดวก เพราะระยะทางจากเดียนเบียนฟูไปยังฮานอยเพียง 200 กิโลเมตร ใช้บริการรถบัสได้เช่นเดียวกัน
การได้มาเยือนเมืองเล็กๆ ที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจอย่างเดียนเบียนฟู ช่วยเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวและเติมเต็มอาหารสมองได้อย่างดี และทำให้รู้ว่า บ้านใกล้เรือนเคียงของเรายังมีสิ่งที่น่าสนใจและสถานที่ที่น่าไปเยือนรออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว