Home > สงครามการค้า 2.0

ผลกระทบสงครามการค้า 2.0 สั่นคลอนเศรษฐกิจไทย

นับตั้งแต่การก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ และใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร เปิดฉากสงครามการค้า โดยเริ่มจากสินค้านำเข้าจากจีน หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ สหรัฐฯ เสียดุลการค้ากับจีนราว 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ข้อมูลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ พบว่า มีมูลค่าสูงถึง 5.85 แสนล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 20.3 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากจีน 4.4 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพียง 1.45 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากทรัมป์ คงพอจะคาดเดาได้ว่า มีความพยายามจากอีกขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ลง หรือที่เรียกว่า DE-Dollarization บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญมากมายเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เงินดอลลาร์จะเสื่อมค่า การตอบโต้กันไปมาระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้ไทยได้อานิสงส์จากความขัดแย้งในบางอุตสาหกรรม เพราะไทยสามารถส่งออกสินค้าเพื่อทดแทนการนำเข้าของทั้งสองประเทศได้มากขึ้น รวมถึงการได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนและสหรัฐฯ นั่นทำให้ภาคส่งออกและการลงทุนของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมไทยบางกลุ่มมีการขยายตัว เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ภาคก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง แต่หากจะบอกว่า ไทยรอดพ้นจากสงครามการค้าในครั้งนี้คงไม่ถูกนัก เมื่อทุกประเทศจะต้องเจอกับอัตราภาษีพื้นฐานของสหรัฐฯ

Read More

ความเสี่ยงอุตสาหกรรมอาหาร กับกำแพงภาษีสงครามการค้า 2.0

ทั่วโลกกำลังจับตามองสถานการณ์สงครามการค้า 2.0 ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้เปิดฉากอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนว่าแนวทางการเปิดฉากสงครามจะดุเดือดมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ต้นเหตุน่าจะมาจากความง่อนแง่นทางเสถียรภาพทางการเงินการคลังของสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้คำว่า “ถังแตก” เต็มที จากหนี้ที่ต้องแบกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ คือ ญี่ปุ่น มูลค่าหนี้ 1,125.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีน มูลค่าหนี้ 784.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหตุผลดังกล่าว น่าจะส่งผลต่อเสถียรภาพความมั่นคงในฐานะผู้นำเศรษฐกิจโลก ทว่าสงครามการค้าในครั้งนี้ สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นต่อเช่นที่ผ่านมา เหมือนการขว้างบูมเมอแรงออกไปยิ่งแรงเท่าไร ยิ่งสะท้อนกลับมาแรงและหนักเป็นเท่าตัว เมื่อสหรัฐฯ เริ่มเกมด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% การตอบโต้อย่างสาสมจากผู้นำแดนมังกร ที่ดูจะไม่สะทกสะท้าน และยังคงท้าทายอำนาจมืดจากซีกโลกตะวันตกชนิดที่เรียกได้ว่า ไม่หวั่นเกรง พร้อมแลกแบบหมัดต่อหมัด ด้วยการตอบโต้กลับโดยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ 10-15%  ในยกแรก และหลังจากนั้นเรายังได้เห็นการตอบโต้กันด้วยการเพิ่มอัตราภาษีอย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ ในขณะที่ไทย แม้จะยังไม่ได้เลือกข้างอย่างชัดเจน แต่กลับต้องโดนกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งใส่เช่นกัน รัฐบาลไทยวางแผนการเจรจาหลังสิ้นสุดเทศกาลสาดน้ำดับร้อน โดยหวังว่าผลของการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐจะช่วยดับไฟสงครามไม่ให้ลุกลามมายังดินแดนด้ามขวาน อุตสาหกรรมของไทยที่น่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ คือ อุตสาหกรรมอาหารที่พบว่ายังมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง ข้อมูลล่าสุดปี

Read More