บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานกำไรสุทธิประจำปี 2563 จำนวน 26,022 ล้านบาท เติบโต 41% จากปีก่อน มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 81,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% ปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการกระบวนการผลิตด้วยมาตรฐานสูงสุดด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย รวมทั้งการใช้ระบบ AI มาเสริมการทำงานให้มีผลดีที่สุดกว่าในอุตสาหกรรม ทำให้แม้ในภาวะวิกฤตโรคระบาดทั้งโควิด-19 และโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) บริษัทยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร กล่าวถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างโดดเด่นของซีพีเอฟเป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่บริษัทได้ค้นคว้าขึ้นมา ทั้งการสร้างสายพันธุ์สัตว์ขึ้นมาใหม่และระบบการเลี้ยง การบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ พร้อมการนำ Bio-Security เข้ามาเสริมการดำเนินการ รวมถึงการมีระบบการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในการเลี้ยงสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในธุรกิจสุกรและธุรกิจกุ้งครบวงจร
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก มาจากการให้ความสำคัญในการควบคุมประสิทธิภาพและต้นทุนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งด้านการผลิต การเลี้ยง และช่องทางจำหน่ายสินค้า และราคาสุกรในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและประเทศจีน ประกอบกับผลดำเนินงานของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ท่ามกลางโรคระบาด Covid-19 ที่แพร่ระบาด ทำให้ภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่สินค้าของบริษัทเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีพและบริษัทได้ปรับรูปแบบช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคเพิ่มขึ้น พร้อมกับปรับรูปแบบการทำงานและนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น
CPFซีพีเอฟประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐเจริญโภคภัณฑ์อาหาร Read More