Home > Vanida Toonpirom (Page 29)

“เจ็ทส์ ฟิตเนส” ปรับตัวรุกตลาดองค์กร ใช้เทคโนโลยีก้าวข้ามความท้าทายยุคโควิด

ฟิตเนสเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามข้อกำหนดของภาครัฐในระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอกแรกจนถึงระลอกล่าสุดที่ฟิตเนสต้องปิดให้บริการมาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2564 และเพิ่งได้รับการอนุญาตให้กลับมาเปิดได้อีกครั้งในวันที่ 1 ต.ค. ส่งผลให้ผู้ประกอบการฟิตเนสต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ขณะที่บางรายอาจต้องปิดกิจการถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็กที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด แต่กระนั้นฟิตเนสยังคงเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติ เพราะการแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการฟิตเนสในการปรับตัวและมองหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวข้ามความท้าทายและข้อจำกัดต่างๆ และพร้อมเดินหน้าหลังการแพร่ระบาดของโควิดคลี่คลายลง เจ็ทส์ ฟิตเนส (jetts fitness) ฟิตเนสสัญชาติออสเตรเลีย ที่ทำการตลาดด้วยจุดขาย “24 hour fitness” เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการฟิตเนสที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดเช่นกัน ทำให้ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการรุกตลาดองค์กรเพื่อรับกับกระแส Corporate Wellness ที่กำลังมาแรง มร.เดน แคนท์เวล กรรมการผู้จัดการ เจ็ทส์ ฟิตเนส ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ผู้จัดการ 360” ว่า “เราเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรสามารถทดแทนประสบการณ์การออกกำลังกายในฟิตเนสคลับได้ สำหรับกลุ่มคนรักการออกกำลังกายและสมาชิกฟิตเนสต่างเข้าใจดีว่า การออกกำลังกายในรูปแบบอื่นยังไม่สร้างแรงจูงใจได้เท่ากับการออกกำลังกายในคลับ เนื่องจากฟิตเนสเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ และเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สร้างแรงจูงใจในการสร้างสุขภาพที่ดี เราจึงเชื่อว่าอุตสาหกรรมฟิตเนสมีแนวโน้มจะกลับมาเติบโตหลังจากกลับมาเปิดได้อีกครั้ง ซึ่งเห็นได้จากการกลับมาของสมาชิกและการสมัครสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากการแพร่ระบาดโควิดระลอก 2 ในไทย” การปรับตัวในช่วงล็อกดาวน์นั้น

Read More

เมื่อโควิดทำให้เราโหยหาการเดินทาง

“อยากไปนั่งชิลล์ริมทะเล” “อยากไปเดินป่า” “คิดถึงภูเขา” “เปิดประเทศเมื่อไหร่จะไปญี่ปุ่น” (และนานาประเทศ) รวมถึงการโพสต์ภาพท่องเที่ยวแล้วตบท้ายด้วยคำว่า “เที่ยวทิพย์” และอีกหลากหลายประโยคบนโซเชียลมีเดียที่บ่งบอกถึงการโหยหาการท่องเที่ยว ในยุคที่โควิด-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวไม่สามารถทำได้ดั่งใจหวัง เป็นเวลากว่า 2 ปี ที่เราต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นภัยพิบัติของทั้งโลก การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างกันถูกระงับเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ต้องพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยว แม้แต่การเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดยังเป็นไปได้ยาก หลายคนต้องกักตัวอยู่ในบ้าน ลดการเดินทาง กิจกรรมที่เคยทำไม่สามารถทำได้ บางคน work from home มาหลายระลอกตั้งแต่การระบาดรอบแรกเมื่อปีที่แล้ว ไม่ได้ออกไปไหนไกล ไม่ได้ไปเที่ยว ต้องอยู่แต่ในบ้าน และยิ่งแล้วใหญ่เมื่อผนวกกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่นิยมอยู่คอนโดมิเนียม กลายเป็นโดนจำกัดให้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไปเสียอย่างนั้น ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกเครียด กังวล เบื่อหน่าย และไร้พลัง จนโหยหาการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อมาเยียวยาหัวใจและคลายความเครียด การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย เพิ่มความสุข และช่วยให้เราสามารถหลีกหนีจากความเครียดในชีวิตได้ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ในทางจิตวิทยาการท่องเที่ยวยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ช่วยพัฒนากระบวนการคิด ส่งผลดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ การท่องเที่ยวส่งผลดีต่อหัวใจ การท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นเที่ยวชมเมืองหรือชมวิวธรรมชาติ ทำให้เราได้เดิน ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องออกแรง เป็นการได้ออกกำลังกายไปในตัว ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของหัวใจและสุขภาพโดยรวม เพิ่มสารแห่งความสุขและเติมเต็มรอยยิ้มให้กับชีวิต เพราะการท่องเที่ยวคือความสนุก ยามที่เราได้ออกไปเที่ยว เพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมใหม่ๆ พบเจอวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม แม้กระทั่งได้กินอาหารอร่อยๆ ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน หรือสารแห่งความสุขออกมา ทำให้เราผ่อนคลายสบายใจ และแน่นอนว่ารอยยิ้มย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน และยิ่งยิ้มมากเท่าไรชีวิตก็สดใสมากขึ้นเท่านั้น ช่วยเพิ่มประสิทธิผลการทำงาน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเป็นสิ่งที่ประสบพบเจอได้เป็นประจำ

Read More

Buddy HomeCare จากมูลนิธิสู่โมเดลธุรกิจ พร้อมดูแลผู้สูงวัยและสร้างโอกาสให้กับเยาวชน

ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จากการคาดการณ์ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวภายในปี 2565 และในปี พ.ศ. 2573 ประชากรสูงวัยจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 26.9 ของประชากรทั้งประเทศ สัดส่วนของผู้สูงอายุหรือประชากรที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สัดส่วนของอัตราการเกิด และจำนวนประชากรในวัยทำงานลดน้อยลง การเตรียมรับมือกับสังคมผู้สูงวัยเป็นประเด็นสำคัญที่ใกล้ตัว แต่ในขณะเดียวกันปัญหาเยาวชนกลุ่มเปราะบางที่ขาดโอกาสทางการศึกษาก็ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องการการแก้ไขอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นประเด็นปัญหาต่างวาระ แต่ทั้งสองประเด็นสามารถแก้ไขและเตรียมรับมือไปพร้อมกันได้ ดังที่ “บัดดี้ โฮมแคร์” (Buddy HomeCare) ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่เล็งเห็นความเป็นไปได้ จึงได้พยายามพัฒนารูปแบบจากการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุแบบมูลนิธิสู่โมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ รวมถึงแก้ปัญหาเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ควบคู่ไปกับการเตรียมรับมือกับสังคมผู้สูงวัยไปพร้อมๆ กัน ปัจจุบันธุรกิจดูแลผู้สูงอายุเกิดขึ้นอย่างมากมายตามจำนวนประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มมากขึ้น และมีหลากหลายบริการให้เลือก “บัดดี้ โฮมแคร์” ถือเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้บัดดี้ โฮมแคร์ แตกต่างจากโฮมแคร์ทั่วๆ ไป อยู่ที่พนักงานที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นเยาวชนที่ขาดโอกาสด้านการศึกษาทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่น่าเป็นห่วง “บัดดี้ โฮมแคร์” ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่และศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางภาคเหนือของไทย อย่าง “เชียงใหม่” เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่ให้บริการดูแลผู้สูงอายุ ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจากมูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ

Read More

เคทีซีปรับกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจสินเชื่อ ท่ามกลางสถานการณ์แห่งความไม่แน่นอน

สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ตลาดสินเชื่อมีความไม่แน่นอนและเปราะบางสูง แม้ยังมีความต้องการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพ แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มซบเซาได้ส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจสินเชื่อท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและเต็มไปด้วยความท้าทาย ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ไตรมาสแรกของปี 2564 ตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันปรับตัวลดลง -2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ทำให้ผู้บริโภคเกิดความระมัดระวังในการใช้จ่ายและการขอสินเชื่อมากขึ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ยอมรับว่าการทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลในปี 2564 ไม่ใช่เรื่องง่ายและท้าทายสูงในการที่จะผลักดันให้พอร์ตลูกหนี้เติบโตท่ามกลางวิกฤต ควบคู่ไปกับการบริหารคุณภาพลูกหนี้ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งในปีนี้เคทีซียังมุ่งรักษาเสถียรภาพของคุณภาพพอร์ตลูกหนี้เป็นหลัก จึงปรับเกณฑ์การอนุมัติให้รัดกุมมากขึ้น ทำให้ยอดลูกหนี้ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลของเคทีซี ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 29,480 ล้านบาท ในขณะที่ภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ 637,849 ล้านบาท ลดลง 2.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ 802,971 ราย ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 4.6% และ NPL เท่ากับ 3.0% ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ที่ 3.5% โดยยอดการปล่อยสินเชื่อในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาลดลงกว่า

Read More

Sourdough Bread ขนมปังเปรี้ยว ถูกปากคนรักแป้ง โดนใจสายคราฟท์

นอกจากโชกุปัง (Shokupan) ขนมปังนุ่มสไตล์ญี่ปุ่น และครัวซองต์กรอบนอกฉ่ำเนยจากฝรั่งเศสที่เข้ามาสร้างกระแสความอร่อยจนทำให้บรรดาผู้ชื่นชอบขนมนมเนยต้องเสาะหามาลิ้มลองกันแล้ว ขนมปังชื่อชวนน่าสงสัย อย่าง “ขนมปังซาวโดวจ์” ก็กำลังเข้ามาสร้างกลุ่มแฟนคลับของตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ แต่กลับโดนใจใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเหล่าคนรักแป้งและสายคราฟท์ทั้งหลาย ในกระบวนการทำขนมปังธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมปังที่เป็นอุตสาหกรรมมักใช้ยีสต์สำเร็จรูปในการทำให้ขนมขึ้นฟู เพราะรวดเร็วไม่ต้องใช้เวลามาก และคุมรสชาติได้ตามที่ต้องการ แต่ขนมปังซาวโดวจ์ (Sourdough Bread) นั้นกลับแตกต่าง เพราะเป็นขนมปังที่หมักจากหัวเชื้อธรรมชาติ ที่เรียกว่า Sourdough Starter ซึ่งเกิดจากการเพาะเลี้ยงยีสต์เอง จนได้เป็นขนมปังที่มีเอกลักษณ์ทั้งเนื้อสัมผัส รสเปรี้ยวที่ติดปลายลิ้น และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ขนมปังซาวโดวจ์หรือขนมปังเปรี้ยว เป็นขนมปังเก่าแก่ อาจเรียกว่าเป็นขนมปังสูตรโบราณก็ว่าได้ เพราะมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณช่วงประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์กาล โดยเชื่อกันว่าเจ้าขนมปังชนิดนี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญจากยีสต์ธรรมชาติที่ปะปนอยู่ในอากาศ ก่อนที่ชาวอียิปต์จะพัฒนาจนได้เป็นขนมปังเปรี้ยวที่มีเอกลักษณ์อันเกิดจากการหมักด้วยยีสต์ที่เกิดจากการบ่มเชื้อ จากอียิปต์ ขนมปังซาวโดวจ์ได้กลายเป็นที่นิยมของชาวยุโรปในยุคต่อๆ มา รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ขนมปังเปรี้ยวชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่คนงานเหมืองในยุคตื่นทองของซานฟรานซิสโก จนกลายเป็นอาหารคู่ยุคตื่นทอง และถือเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของซานฟรานซิสโก แม้แต่ตัวนำโชคหรือมาสคอตของทีมอเมริกันฟุตบอล San Francisco 49ers ยังมีชื่อเล่นว่า “Sourdough Sam” เลยทีเดียว นอกจากนั้น ซานฟรานซิสโกยังมีร้านขนมปังซาวโดวจ์ที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานอย่าง “Boudin

Read More

“ระเฑียร ศรีมงคล” กับภารกิจปั้น XSpring สะพานเชื่อมโลกการเงินแบบเดิมสู่โลกดิจิทัล

“เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล” กางแผนธุรกิจ รุก Digital Financial Service พร้อมเป็นสะพานเชื่อมโลกการเงินแบบเดิมสู่โลกการเงินดิจิทัล ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร ด้วย 3 ปัจจัยแกร่ง “พันธมิตร– เงินทุน-ไลเซนส์” ภายใต้การนำทัพของมืออาชีพด้านการเงินอย่าง “ระเฑียร ศรีมงคล” เรียกว่าเป็นความเคลื่อนไหวในแวดวงการเงินที่น่าจับตา เมื่อบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ประกาศเปลี่ยนชื่อ เป็นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) หรือ XSpring เพื่อให้สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน ไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ตามมาด้วยการเพิ่มทุน จากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท สู่การเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีเงินทุนในมือกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

Read More

เยียวยาจิตใจด้วย Kitchen Therapy เมื่อการเข้าครัว ไม่เพียงทำให้ท้องอิ่ม

ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า สภาพการณ์ปัจจุบันทำให้เราอยู่ในสภาวะ “จิตตก” ได้ง่ายๆ ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ต้องนั่งลุ้นกันทุกวัน สภาพเศรษฐกิจที่ดูน่าเป็นห่วง ประกอบกับการที่ต้องอยู่กับบ้านนานๆ ล้วนแล้วแต่ทำให้สภาพจิตใจเราย่ำแย่ไปตามๆ กัน หลายคนจึงต้องหาวิธีปลอบประโลมจิตใจ ควบคู่กับหาวิธีป้องกันตัวเองจากโรคระบาดทางกาย บางคนเลือกที่จะปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เลี้ยงสัตว์ หรือออกกำลังกายเพื่อเป็นการเยียวยาจิตใจ แต่บางคนก็เลือกที่จะใช้การเข้าครัว ทำอาหาร อบขนม เป็นการผ่อนคลายแทน เห็นได้จากกระแสหม้อทอดไร้น้ำมันพร้อมเมนูสร้างสรรค์ต่างๆ ที่อวดโฉมอยู่บนโซเชียลมีเดีย แต่การทำอาหารที่บางคนเลือกใช้เป็นวิธีผ่อนคลายหรือเป็นงานบ้านที่ต้องทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันของใครอีกหลายๆ คนนั้น กลับส่งผลดีต่ออารมณ์และจิตใจได้มากกว่าที่เราคิด และยังเป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม รวมถึงสภาวะซึมเศร้า ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในชื่อ “การบำบัดด้วยการทำอาหาร” หรือ Kitchen Therapy การศึกษาทางจิตวิทยาในหัวข้อ “Everyday creative activity as a path to flourishing” ของ แทมลิน คอนเนอร์ (Tamlin S. Conner) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโอทาโก (University of

Read More

จับตาฟิตเนส ธุรกิจหมื่นล้าน ในวันที่กำลังกระอักเพราะพิษโควิด

ธุรกิจฟิตเนสเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การระบาดในระลอกแรก จนถึงระลอกล่าสุดที่ดูจะหนักหนาสาหัสและอาจทำให้ผู้ประกอบการกว่าครึ่งจำต้องโบกมือลา ก่อนการอุบัติขึ้นของโรคโควิด-19 ธุรกิจฟิตเนสถือเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดและมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด อันเนื่องมาจากเทรนด์ของคนในสังคมปัจจุบันที่หันมาใส่ใจในเรื่องการรักษาสุขภาพและออกกำลังกายกันมากขึ้น ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยต่างก้าวเข้าสู่สังเวียน เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจและช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดก้อนโต ข้อมูลย้อนหลังจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า รายได้รวมของกลุ่มธุรกิจฟิตเนสในช่วงปี 2558-2560 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยถึง 12.40% ต่อปี ฟิตเนสรายย่อยเปิดตัวมากขึ้นและกระจายตัวอยู่ในย่านชุมชนเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการออกกำลังกายใกล้บ้าน ในขณะที่ฟิตเนสรายใหญ่ยังคงมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูล ณ ปี 2562 พบว่า มูลค่าตลาดโดยรวมของธุรกิจฟิตเนสอยู่ที่ 9,000-10,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10%-12% ต่อปี และคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องถ้าไม่ประสบกับวิกฤตโควิด-19 อย่างในปัจจุบัน การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้รัฐออกมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการสั่งปิดสถานที่ออกกำลังกายและฟิตเนสเป็นการชั่วคราว เพราะมองว่าเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด โดยเป็นธุรกิจแรกๆ ที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่กลับเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่จะสามารถกลับมาเปิดให้บริการตามปกติได้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นได้สร้างผลกระทบโดยตรงต่อผู้ให้บริการฟิตเนสทั้งรายใหญ่และรายย่อยอย่างถ้วนหน้า ผู้ประกอบการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ฟิตเนสจำนวนไม่น้อยมีรายได้ต่อเดือนเท่ากับ “ศูนย์” ในขณะที่รายจ่ายยังคงเท่าเดิม ศุกรีย์ สุภาวรีกุล นายกสมาคมกีฬาเพาะกายและฟิตเนสแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฟิตเนสต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ทั้งค่าเช่า

Read More

Limited Education แก้ปัญหาผ่านแบรนด์ เปลี่ยนการศึกษาไทยให้เป็นของ (ไม่) ลิมิเต็ด

เสื้อยืดสีขาวที่มีตัวอักษรโย้เย้สะกดชื่อแบบผิดๆ ถูกๆ อยู่บนตัวเสื้อ หรือ ป้าย “ขนมปังเนยโสด” ที่อยู่บนกล่องขนมปังเนยสดของร้านขนมหวานชื่อดังอย่าง After You คงเคยผ่านตาของใครหลายคน แม้มุมหนึ่งอาจจะดูน่ารัก ดึงดูดความสนใจ ประหนึ่งการตลาดรูปแบบใหม่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ภายใต้ตัวอักษรเหล่านั้นกำลังสะท้อนความจริงของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทย “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นคำที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง แต่โดยส่วนมากมักนึกถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจหรือรายได้เป็นหลัก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นปัญหาที่เห็นภาพเด่นชัดในสังคมไทย ทว่าช่องว่างของรายได้และทรัพย์สินที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำด้านต่างๆ ในสังคม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา” ที่โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพถูกจำกัดด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ปัญหาเรื้อรังที่ฝังลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ตัวอักษรโย้เย้และคำสะกดผิดที่อยู่บนเสื้อยืดสีขาวและกล่องขนมข้างต้น คือหนึ่งในความพยายามที่จะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผ่านโครงการ “Limited Education” ที่เป็นดั่งพื้นที่รวบรวมสินค้า Limited Edition จากแบรนด์ดังต่างๆ ที่เห็นความสำคัญและพร้อมที่จะเข้ามาร่วมกันเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทย โดยเชื่อว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไทยจะลดลงได้ เมื่อเกิดพื้นที่แห่งความร่วมมือจากทุกคน ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ อุดหนุน และส่งต่อประเด็นปัญหา ผ่านสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษโดยใช้คำที่สะกดผิดจากลายมือจริงของเด็ก ที่ดูผ่านๆ หลายคนคงคิดว่าเป็นลายมือของเด็กประถม แต่แท้ที่จริงแล้วทุกตัวอักษรและทุกข้อความที่ปรากฏอยู่บนผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เป็นฝีมือของเด็กระดับมัธยมต้น ที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางการศึกษา ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ทำให้อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น “จากสถิติปี 2563 เราพบว่า

Read More

เสริมโภชนาการที่ดี ติดเกราะป้องกันให้ร่างกายสู้โควิด

เรียกว่าหายใจหายคอไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในแต่ละวันที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ต่างคนต่างหาวิธีป้องกันตัวเองกันอย่างเข้มข้นเพื่อให้รอดปลอดภัยจากไวรัสตัวร้าย ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดการเดินทางและกักตัวอยู่กับบ้านเพื่อลดความเสี่ยง แต่นอกเหนือจากมาตรการป้องกันตัวเองข้างต้นแล้ว การเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่โควิด-19 กำลังมาเคาะประตูบ้านอยู่ในขณะนี้ ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีส่วนหนึ่งมาจากภาวะโภชนาการที่ดี โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อให้ได้รับปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุลเพื่อสร้างโภชนาการที่ดีนั้น เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้ ผักและผลไม้คือแหล่งวิตามินและใยอาหารชั้นดี ผักและผลไม้คือสิ่งที่ไม่ควรขาด และควรบริโภคให้ได้ครบทุกวัน เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และนับเป็นความโชคดีที่เมืองไทยมีพืชผักและผลไม้หลายชนิดให้เลือกบริโภคได้ตลอดทั้งปี ผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็น ส้ม ฝรั่ง แอปเปิล ส้มโอ กล้วย สับปะรด มะละกอ ผลเบอร์รี่ต่างๆ นับเป็นแหล่งวิตามินชั้นดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิตามินซี” ที่ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง ซึ่งผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีอันดับต้นๆ เมื่อเทียบน้ำหนักต่อ 100 กรัม คือ มะขามป้อม มีวิตามินซี 276 มิลลิกรัม, ฝรั่ง 160 มิลลิกรัม, กีวี 105 มิลลิกรัม, ลิ้นจี่ 71.5 มิลลิกรัม, มะละกอ 62

Read More