วันจันทร์, กรกฎาคม 14, 2025
Home > Cover Story > Wallace “ไก่กรอบทั้งตัว” เจาะช่องว่าง เคเอฟซี-แมค

Wallace “ไก่กรอบทั้งตัว” เจาะช่องว่าง เคเอฟซี-แมค

Wallace (วอลเลส) แบรนด์ฟาสต์ฟูด ไก่ทอดและเบอร์เกอร์จากจีนเข้ามารุกตลาดเมืองไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีเมนูสร้างสีสัน “ไก่กรอบทั้งตัว” เป็นกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง หวังช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด Fried Chicken War ที่มีมูลค่ามากกว่า 27,600 ล้านบาท และเป็นเซกเมนต์ที่มีสัดส่วนมากสุดในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR)

ทั้งนี้ จากภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย มูลค่าราว 4.35 แสนล้านบาท แยกเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ประมาณ 47,000 ล้านบาท โดยเซกเมนต์ยอดฮิต 3 อันดับแรก ประกอบด้วย กลุ่มไก่ทอด มีมูลค่า 27,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58% กลุ่มเบอร์เกอร์ 10,900 ล้านบาท สัดส่วน 23% และพิซซ่า 9,500 ล้านบาท สัดส่วน 20% โดยตลาดไก่ทอดถือเป็นเซกเมนต์ใหญ่สุด เติบโตมากที่สุดและแข่งขันรุนแรงไม่มีตก มีแบรนด์ต่างชาติเข้ามาบุกตลาดทุกปี

แน่นอนว่า ค่ายเคเอฟซียังคงเป็นเบอร์หนึ่ง ผูกขาดส่วนแบ่งตลาดเกินครึ่งและมีสาขามากกว่า 1,100 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นผู้บริหารแบรนด์และในประเทศไทยมีผู้ถือสิทธิ์แฟรนไชส์ 3 ราย คือ บริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ในเครือไทยเบฟ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี) บริษัท คิวเอสอาร์ออฟเอเชีย จำกัด ของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ และบริษัท Devyani International DMCC ในเครือ Devyani International Limited (DIL) ที่เข้ามาเสริมทัพ หลัง Restaurants Development หรืออาร์ดี ผู้ได้รับสิทธิ์เดิมยุติการถือสิทธิ์แฟรนไชส์

อย่างไรก็ตาม แม้ Fried Chicken War จะมียักษ์ใหญ่ยึดครองตลาดมากกว่าครึ่ง แต่มีแบรนด์ต่างชาติกระโดดเข้ามาท้าชนตลอดเวลา ซึ่งวอลเลส คือ หนึ่งในผู้เล่นที่วางแผนค่อยๆ เติบโตและสะสมประสบการณ์การทำธุรกิจในไทย เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดไก่ทอดมี 2 บิ๊กที่ปักหลักตลาดไทยอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเคเอฟซีที่เปิดร้านสาขาแรกที่เซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อ 40 กว่าปีก่อน และแมคโดนัลด์ เจ้าตลาดเบอร์เกอร์ที่ต้องการเสริมจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของเมนูและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่นิยมบริโภคไก่กรอบ โดยเปิดตัวแมคไก่ทอดจัมโบ้ สูตรออริจินอล เมื่อปี 2559

ทั้งสองค่ายต่างอัดเม็ดเงินลงทุนขยายสาขาโมเดลใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลายของเมนู ดึงซูเปอร์สตาร์เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ชนิดที่ห้ำหั่นไม่มีใครยอมใคร

แต่การมาของ Wallace ถือเป็นผู้เล่นที่น่าจับตา เพราะ Wallace เรียนรู้และประสบความสำเร็จในตลาดจีนได้ด้วยการเจาะโอกาสและช่องว่างที่ค่ายตะวันตกมองข้ามไปอย่างแท้จริง

Wallace เริ่มต้นจากสองพี่น้องชาวจีน หัว หวยหยู (Hua Huaiyu) และ หัว หวยชิง (Hua Huaiqing) ตัดสินใจใช้เงินทุนก้อนแรก 80,000 หยวน หรือราว 360,000 กว่าบาท เปิดร้านไก่ทอดในมหาวิทยาลัยครู ฝูเจี้ยน เมืองฝูโจว เมื่อปี 2543 โดยช่วงแรกพยายามทำธุรกิจลอกเลียนแบบแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดตะวันตก แต่ผลตอบรับกลับไม่ดี จนตัดสินใจงัดกลยุทธ์ราคาถูก เข้าถึงง่าย เปลี่ยนจากร้านขนาดใหญ่เป็นร้านเล็ก และเปิดตัวโปรโมชั่น 123 คือ โค้ก 1 หยวน ขาไก่ 2 หยวน แฮมเบอร์เกอร์ 3 หยวน

ปรากฏว่า โปร 123 ส่งผลให้ Wallace ขยายกิจการได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดตะวันตกราคาไม่แพง เน้นจุดขายการตั้งราคาสินค้าอยู่ที่ 30-60% ของราคา KFC และ McDonald’s รวมทั้งไม่ขยายสาขาในห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้า เพื่อลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ แต่เน้นเจาะย่านที่อยู่อาศัย มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เปิดร้านเล็กๆ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ไม่แพง

ปี 2548 แฟรนไชส์ไก่ทอด Wallace เริ่มสร้างแบรนด์และขยายสาขาไปทั่วประเทศจีน

ปี 2552 ก่อตั้งบริษัท Fujian Wallace Food Co., Ltd. ในเมืองฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน และดำเนินธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง จนปี 2557 รุกขยายสาขาทั่วประเทศจีนได้กว่า 4,800 แห่ง แซงหน้า KFC ได้เป็นครั้งแรก

เดือนเมษายน 2559 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง National Equities Exchange and Quotations (NEEQ) หรือ New Third Boad หรือที่รู้จักกันในชื่อตลาดหุ้นแห่งที่ 3 เป็นตลาดทุนสำหรับ SMEs จีนที่ยังไม่สามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัก จนกระทั่งสิ้นปี 2561 มีจำนวนสาขามากกว่า 10,000 แห่ง และปี 2562 ขยายสาขาเพิ่มมากกว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศจีน มากกว่าจำนวนสาขาทั้งหมดของคู่แข่งฟาสต์ฟูดตะวันตก

ปัจจุบัน Wallace เป็นแฟรนไชส์ไก่ทอดและเบอร์เกอร์มีสาขาในจีนมากกว่า 20,000 แห่ง กลายเป็นแฟรนไชส์ฟาสต์ฟูดอันดับต้นๆ ภายใต้สโลแกน “ไก่ทั้งตัวมาคู่กับแฮมเบอร์เกอร์ อิ่มคุ้มที่ Wallace” และมีการขยายสาขาในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และไทย

สำหรับไทยนั้น  Wallace เปิดตัวเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 นำร่องสาขาแรกที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มีบริษัท ซีเอฟจี แอนด์ เจอีทีไอ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้นำเข้ามาในฐานะมาสเตอร์แฟรนไชส์เพียงผู้เดียวในไทย ล่าสุดขยายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย สาขาท่าน้ำนนท์ สาขามหาวิทยาลัยศรีปทุม สาขาราม 2 สาขาลาซาล สาขาตลาดสำโรง สาขาแพรกษา สมุทรปราการ (ซ.มังกร) และมีแผนผุดเพิ่มต่อเนื่อง เน้นทำเลแหล่งที่พักอาศัยและมหาวิทยาลัยเหมือนในจีน.

๐ ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก  Wallace Burger – Thailand

 

พิษสงคราม รัฐบาลระส่ำ ร้านอาหารงัดทุกกลยุทธ์สู้

ในสถานการณ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล–อิหร่านที่ยกระดับความตึงเครียดขึ้นหลังสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนร่วม และอิหร่านประกาศปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งน้ำมัน ขณะที่การเมืองไทยมีความไม่แน่นอนสูง รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” จะอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพเสี่ยงสูง ทั้งภาคธุรกิจและผู้คนต่างรัดเข็มขัดมากขึ้น จับจ่ายอย่างระมัดระวัง เพราะอาจเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลา

เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปี 2568 จะโตชะลอลงจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกระทบการใช้จ่ายของผู้บริโภค และภาคการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเสี่ยงไม่โต คาดว่ามูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 646,000 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปี 2567 ปรับลดจากคาดการณ์เดิมที่เติบโต 4.6% หรือมีมูลค่า 657,000 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2567

หากเจาะเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 562,000 ล้านบาท เติบโต 3.0% จากปี 2567 โดยกลุ่มร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full service restaurant) เติบโตต่ำกว่ากลุ่มอื่น

ส่วนธุรกิจร้านเครื่องดื่ม รวมร้านเบเกอรี่และไอศกรีม คาดมูลค่าตลาดอยู่ที่ 84,200 ล้านบาท เติบโต 1.9% จากปี 2567 โดยกลุ่มเบเกอรี่ยังเติบโตดีจากความหลากหลายประเภทของเบเกอรี่และร้านค้าที่มากขึ้น

ทั้งนี้ ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ 973 ราย แม้ลดลง 11.0% (YoY) แต่เป็นธุรกิจที่มีการเปิดใหม่มากติดอันดับ 1 ใน 5 ของกิจการที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งกิจการใหม่ในทุกปี โดยปี 2568 คาดว่าร้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วประเทศจะมีจำนวนกว่า 6.9 แสนร้าน ยังไม่นับรวมร้านอาหารและเครื่องดื่มประเภทร้านข้างทาง รถเข็นไม่มีหน้าร้านหรือที่ตั้งถาวร ร้านฟูดทรัก และร้านรูปแบบ Ghost Kitchen ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก

สำหรับเทรนด์รูปแบบการลงทุนธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมี 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่มรูปแบบร่วมสมัย (Contemporary Casual) กำลังเป็นที่นิยมและตอบโจทย์เทรนด์สมัยใหม่ เช่น การจัดรูปแบบร้านอาหารแนวมินิมอล สร้างประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ ผ่านการสร้างแบรนด์ให้สอดคล้องกับกระแสความต้องการของผู้บริโภค เช่น การนำเสนอเมนูใหม่ๆ การผสมผสานวัฒนธรรมผ่านการประยุกต์ใช้วัตถุดิบอาหารจากท้องถิ่น ราคาเหมาะสมและมีระดับราคาหลากหลาย โดยกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Entrepreneur) และกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่ม Gen Z

รูปแบบที่ 2 ร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์จากต่างประเทศ  รวมถึงเบเกอรี่ ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ซึ่งเข้ามาทำตลาดมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งรูปแบบการร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการไทยและการซื้อแฟรนไชส์เข้ามาบริหาร

รูปแบบที่ 3 ร้านอาหาร Premium Casual จับกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง ราคาเฉลี่ย 500 บาทต่อจานขึ้นไป ซึ่งมีผู้ประกอบการเปิดตัวมากขึ้น เพื่อหนีตลาด Mass และผลกระทบจากเศรษฐกิจ เน้นจุดขายคุณภาพวัตถุดิบ เทคนิคการทำอาหารแนวสร้างสรรค์และแปลกใหม่

แน่นอนว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเจอปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน และที่สำคัญ กำลังซื้อของผู้คนที่จะหดตัวหนัก ทำให้ทุกรายต้องงัดทุกกลยุทธ์ดึงดูดคนเข้าร้านให้ได้มากที่สุด.