บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ มักใช้โอกาสการแถลงข่าวงาน “สหกรุ๊ปแฟร์” ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บ้านเมืองทุกปี และหากย้อนกลับไปช่วงปี 2556 ในยุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เสี่ยเปรียบเทียบเหมือนขณะขับเครื่องบินที่กำลังเจอมรสุมและตกหลุมอากาศ ต้องลุ้นว่าจะลงจอดรูปแบบใด เพราะเจอวิกฤตเศรษฐกิจรอบด้าน
มาปี 2568 ในยุครัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ภายใต้เครือข่ายพรรคเพื่อไทยและตระกูล “ชินวัตร” ปรากฏว่า ในงานแถลงข่าวงาน “สหกรุ๊ปแฟร์” ปีนี้ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา เสี่ยบุณยสิทธิ์ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจชนิดถดถอยและเจอโจทย์ท้าทายกว่าอดีตหลายเท่า เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าปีที่แล้วและยิ่งกว่าช่วงโควิด โดยเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยปัจจุบันเหมือน “รถสามล้อ” แตกต่างจากปี 2567 ที่เคยมองว่าเศรษฐกิจไทยเปรียบเหมือนกับ “รถยนต์ไฮบริด” เนื่องจากต้องเผชิญหน้าปัจจัยกดดันจากภายนอก เช่น สงครามการค้า รวมถึงปัจจัยภายในที่ขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ในยุคนายกฯ “ยิ่งลักษณ์” ระหว่างปี 2554-2556 บริหารประเทศราว 2 ปี เจอนักวิชาการโจมตีว่า รัฐบาลประสบความล้มเหลวในการบริหารประเทศอย่างสิ้นเชิง เป้าหมายหลักของนโยบายที่ต้องการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส กลับเกิดผลลัพธ์ในทิศทางตรงกันข้าม เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และหนี้สินพุ่งพรวดต่อเนื่อง สร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ มิหนำซ้ำยังส่งเสริมให้ประชาชนเกิดค่านิยมการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
ขณะเดียวกัน กลุ่มคนส่วนน้อย ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ และหัวคะแนนระดับท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้เครือข่ายอุปถัมภ์ของรัฐบาลร่ำรวยเพิ่มมากขึ้น
สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ ราคาสินค้าเกษตรลดลง ยกตัวอย่าง “ยางแผ่นดิบ” โดยปี 2554 ชาวสวนยางพาราขายยางแผ่นดิบได้เฉลี่ย 137.50 บาทต่อกิโลกรัม ปี 2555 ราคาลดลงเหลือ 96.90 บาทต่อกิโลกรัม เงินชาวสวนยางหายไปถึง 40.60 บาทต่อกิโลกรัม จากนั้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2556 ลดลงเหลือประมาณ 84 บาทต่อกิโลกรัม เงินหายไปอีก 12.90 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นระยะเวลาเกือบสองปี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้รายได้ของชาวสวนยางลดลงถึง 53.5 บาทต่อกิโลกรัม หรือลดลง 38.90%
นี่ยังไม่รวมความผิดพลาดด้านนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะคดีประวัติศาสตร์ โครงการทุจริตรับจำนำข้าว ราคาตันละ 15,000 – 20,000 บาท เมื่อปี 2554 สร้างมูลค่าความเสียหายมากกว่า 35,000 ล้านบาท และใช้เวลาพิจารณาคดียาวนานตั้งแต่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ คดีจำนำข้าว ในส่วนคดีอาญา เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557
กระทั่งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้คดีจำนำข้าว รวม 10,028 ล้านบาท
สำหรับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้ามานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ต้องยอมรับว่า เจอมรสุมรอบด้านทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ จนสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในจุดยากลำบากแสนสาหัส กำลังซื้อถดถอย และยังแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงไม่ได้ ทั้งที่นางสาวแพทองธารมักย้ำเป้าหมายการบริหารประเทศเป็นสโลแกนประจำตัวว่า ประชาชนต้องมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
นโยบายมากมาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจกลับไม่ยังบรรลุเป้าหมาย สำนักวิจัยต่างปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ ธุรกิจปิดตัว แรงงานถูกเลิกจ้าง ข้าวของแพง แม้พยายามแจกเงินกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ยังไม่เห็นผล เพราะปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจอ่อนแอ
ล่าสุด ยังเจอผลกระทบจากนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ที่ท้าทายฝีมือรัฐบาล เพราะหากแก้ไม่ได้ ไม่ตรงจุด อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะยิ่งย่ำแย่ลงอีก
ทั้งนี้ ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงานอัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับเดือนเมษายน 2568 ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยปี 2568 เหลือเพียง 1.6% จากเดิม 2.9% ในรายงานอัปเดตฉบับเดือนมกราคม 2568 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุนที่ยังมีความไม่แน่นอนในระดับสูงและความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง
ที่สำคัญ การปรับลดประมาณการจีดีพีของไทยครั้งนี้เป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่งปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.8% และปี 2569 เหลือ 1.6%
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจต่างประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ สะท้อนจากการระดมทุนของภาคเอกชนมีความอ่อนแอต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอตัวลง มีการคืนหนี้มากขึ้น แม้ภาคสถาบันการเงินอยากปล่อยกู้ แต่ภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงระดับสูง มาตรฐานการปล่อยกู้ของแต่ละแบงก์จึงเข้มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งล่าสุดศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการสินเชื่อทั้งระบบของปี 2568 จากเดิมคาดการณ์จะขยายตัว 0.6% เป็นติดลบ 0.6% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามากกว่าคาดมาก โดยเฉพาะไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่ต่ำกว่าประเมินเกือบทุกหมวด ทุกเซกเตอร์ธุรกิจ เป็นการติดลบในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่ปี 2553 ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (NPL) คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.7% ปีก่อน มาอยู่ใกล้ 3% ของสินเชื่อรวม และหากดูข้อมูลจาก “เครดิตบูโร” มีสัดส่วนลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจและต้องจับตาสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างไปแล้ว เริ่มวนกลับมาเป็น “หนี้เสีย” อีกระลอก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนความเปราะบางของลูกหนี้
แน่นอนว่า ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด โดยเฉพาะรัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ ซึ่งเสี่ยบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังมีลุ้นพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย แต่รัฐบาลควรมีมาตรการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเดินหน้าโครงการใหญ่ อย่างเช่น “แลนด์บริดจ์” และการขยายโครงการลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งขณะนี้โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลวางแผนไว้ยังไม่มีความคืบหน้ามาก
ส่วนมาตรการระยะสั้นในช่วง 3-6 เดือนที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ น่าจะมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาบ้าง เพื่อปลุกเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น
ขณะที่มาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลชะลอโครงการไว้ก่อนนั้น เสี่ยบุณยสิทธิ์มองว่า การแจกเงินไม่ได้สร้างเศรษฐกิจ แต่เป็นตัวหาเสียงทางการเมืองมากกว่า ซึ่งประเทศไทยมีสิ่งที่ควรพัฒนาหลายอย่าง หากเอานโยบายเรื่องการเมืองเป็นหลักจะทำให้ต่างประเทศไม่ยอมกลับเข้ามาลงทุน.