วันศุกร์, มิถุนายน 20, 2025
Home > Cover Story > คุยกับ 2 ผู้ก่อตั้ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” ในวันที่ต้องปรับตัว รับการเปลี่ยนแปลง

คุยกับ 2 ผู้ก่อตั้ง “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” ในวันที่ต้องปรับตัว รับการเปลี่ยนแปลง

สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเริ่มส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และส่งแรงกระเพื่อมไปยังแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ร้านอาหารข้างทาง ร้านเชนขนาดใหญ่ รวมถึงร้านอาหารระดับมิชลิน ที่ต้องเจอกับยอดขายที่ลดลงถึง 50% ถึงขนาดที่หลายคนในวงการบอกว่านี่คือปีแห่งการ “เผาจริง”

เช่นเดียวกับ “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” เจ้าของแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีชื่อดังอย่าง nice two Meat u, Fire Tiger หรือ Dosan Dalmatian ที่มองว่าธุรกิจร้านอาหารกำลังเผชิญกับความท้าทาย และถึงเวลาที่ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด จากร้านอาหารแนวเกาหลีที่เจาะกลุ่มลูกค้า medium to high สู่การปรับพอร์ตโฟลิโอในเครือเพื่อเจาะตลาดแมสมากขึ้น ด้วยการส่ง “เกศเตี๋ยว” แบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือสุดฮอตที่คิวแน่นมายาวนานกว่า 5 เดือน มาเปิดเกมรุกครั้งใหญ่ พร้อมอีก 8 แบรนด์ใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวภายในไตรมาส 3 ของปี 2568

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร และ แนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ 2 พาร์ตเนอร์ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท รวยไม่หยุด จำกัด ได้เริ่มบุกเบิกร้านอาหารในย่านสยามสแควร์ ซอย 3 ใจกลางหมู่วัยรุ่น ด้วยการเปิดตัวร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีพรีเมียมอย่าง “nice two Meat u” มาบุกตลาด ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นปิ้งย่างเกาหลีแรกๆ ในยุคที่ร้านอาหารเกาหลียังไม่แพร่หลายและแข่งขันกันดุเดือดอย่างในปัจจุบัน จนสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว และเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดตัวร้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีอื่นๆ ในเครือตามมา

ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นให้ “ผู้จัดการ 360 องศา” ฟังว่า เธอจบการศึกษาด้านอาหารโดยตรงอย่าง Gastronomy จาก Boston University สหรัฐอเมริกา แต่ก่อนที่จะกลับเมืองไทยได้เข้าทำงานที่โรงแรมฮิลตันเป็นเวลา 1 ปีเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์  พอกลับเมืองไทยจึงได้เข้าทำงานในบริษัทให้คำปรึกษาด้านพัฒนาศักยภาพองค์กรและบุคลากรอีกราวๆ 2 ปี แทนการทำธุรกิจยี่ปั๊วขายเหล้า บุหรี่ และสวนยางพาราของครอบครัว

หลังจากนั้นเธอตัดสินใจเปิดร้านกาแฟย่านสาทร ก่อนที่จะขายกิจการและออกมาเล่นหุ้นอย่างจริงจัง แต่เล่นได้ระยะหนึ่งก็ขายล้างพอร์ตฯ เพราะชุติมาบอกว่าเธอใจร้อน เล่นแต่หุ้นปั่น การขึ้นลงของหุ้นแต่ละครั้งมันกระทบจิตใจมาก จึงล้างพอร์ตฯ และนำเงินที่เหลือเข้ามาบุกสยามสแควร์

“ตั้งแต่เด็กคิดว่าตัวเองจะต้องรวยในสักวัน คือยังไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไร แต่รู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องเป็นคนรวยคนหนึ่งแน่ๆ เลยเป็นที่มาที่เวลาเกศจะทำอะไร ไม่ได้คิดว่ามันจะล้มเหลว อยากทำอะไรก็ทำเลย ร้าน nice two Meat u เป็นธุรกิจที่ 9 ของเกศ ก่อนหน้านี้เปิดมาแล้ว 8 ธุรกิจ ทั้งร้านทำเล็บ ยิมมวย ร้านนวด ร้านแวกซ์ ไปจนถึงทำช่องทีวี เจ๊งหมด เหลือรอดมาคือร้านทำเล็บ เพราะเราไม่รู้อะไรเลย จนได้มาเจอกับแนทจึงได้มาทำร้าน nice two Meat u เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนชอบอาหารเกาหลีมากๆ แต่เป็นคนกินรสจัด ถ้าย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ยังไม่มีร้านอาหารเกาหลีร้านไหนที่ถูกปากตัวเกศเอง จึงคิดว่าจะเปิดร้านอาหารเกาหลีและเอามาปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทย เลยไปที่เกาหลีและหาร้านมาเปิดในเมืองไทย จึงกลายเป็นร้าน nice two Meat u ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีร้านแรกๆ”

นับจนถึงปัจจุบัน nice two Meat u เปิดดำเนินการมาแล้ว 8 ปีเต็ม ขยายสาขาออกไปมากถึง 14 สาขา และเป็นร้านปิ้งย่างเกาหลีร้านแรกที่สามารถเข้าไปเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าได้ แต่แน่นอนว่า “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” ก็ไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังเดินหน้าเปิดร้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีเพิ่มอีกหลายแบรนด์ พร้อมตั้งเป้าสู่การเป็นอันดับหนึ่งของแบรนด์ร้านอาหารเกาหลี โดยปัจจุบันมีแบรนด์ในเครือรวยไม่หยุดถึง 10 แบรนด์ ที่ล้วนปักหมุดสาขาแรกที่สยามสแควร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ร้านชานมไข่มุกเสือพ่นไฟอย่าง Fire Tiger ที่สร้างปรากฏการณ์รอคิวยาวเหยียดมาแล้ว โดยปัจจุบันมีจำนวน 10 สาขา, Mil Toast 8 สาขา, Happy Pig 3 สาขา, Juicy Bunny 6 สาขา, Dosan Dalmatian 1 สาขา, Sundububu 1 สาขา, EBOMB (อยู่ใน Fire Tiger Coffee Siam Square Block I ), หมูกระทะคนรวย 1 สาขา และล่าสุดกับแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือที่กำลังเป็นไวรัลอยู่ในขณะนี้อย่าง “เกศเตี๋ยว” และกำลังจะเปิดสาขา 2 ที่ไอคอนสยามในเร็วๆ นี้ ซึ่งแบรนด์ทั้งหมดนี้ดำเนินการภายใต้ 3 บริษัทหลัก ได้แก่ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด, บริษัท รวยปังปัง จำกัด และบริษัท รวยสบายสบาย จำกัด

“แบรนด์ในพอร์ตฯ ของเราผสมกัน ทั้งการซื้อแฟรนไชส์จากเกาหลีอย่าง nice two Meat u, Mil Toast, Dosan Dalmatian และแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นเองอย่าง Fire Tiger และแบรนด์อื่นๆ” แนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด อีกหนึ่งพาร์ตเนอร์คนสำคัญเสริม

ปรับพอร์ตฯ ครั้งใหญ่ เจาะกลุ่มแมส ปูพรมเปิด 8 แบรนด์ใหม่

ที่ผ่านมาแบรนด์ในเครือรวยไม่หยุดจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ Medium to High มาโดยตลอด แต่ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้รวยไม่หยุดต้องปรับตัวครั้งใหญ่

“เราเล็งเห็นมาระยะหนึ่งแล้วว่าเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี กระทบไปทุกกลุ่ม ยอด spending ต่อบิลต่อหัวของเครือมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ธุรกิจร้านอาหารในไทยก็มีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก เต็มไปด้วยผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดร้านอาหารที่มีมูลค่าร่วม 7 แสนล้านบาท จนเกิดภาวะซัปพลายมากกว่าดีมานด์ ซึ่งปีที่ผ่านมาเราทำได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ หลังจากนี้จะเห็นร้านอาหารในไทยปิดตัวลงอีกเยอะ” ชุติมาเผย

ในขณะที่นันทนัชให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า “ถ้าไปดูเทรนด์ร้านอาหารที่เกาหลีตอนนี้จะเห็นว่าเปลี่ยนแปลงไวมาก ไม่ต่างกับธุรกิจ Fast Fashion ที่มีทั้งแบรนด์ที่ปิดตัว และแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่จะเห็นเลยว่าร้านที่เกาหลีจะมีอย่างมากไม่เกิน 2 สาขา ซึ่งเมืองไทยกำลังเป็นแบบนั้น เทรนด์ผู้บริโภคยุคนี้เปลี่ยนแปลงไว ต้องการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่ได้มองหาแค่ร้านอาหารที่อร่อย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังมองหาร้านอาหารที่มีคอนเซ็ปต์ Back to Basic มอบประสบการณ์แบบ Casual Dining เน้นอาหารรับประทานง่าย หรือเมนูที่คิดถึง ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้เงินในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือสิ่งที่รวยไม่หยุดเล็งเห็น”

เพื่อการอยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวยไม่หยุดจึงมีการปรับพอร์ตฯ ร้านในเครือด้วยการเจาะกลุ่มแมสมากขึ้น เดินหน้าเปิดร้านที่สามารถเข้าถึงทุกกลุ่มและจับต้องได้ง่าย ด้วยการส่งก๋วยเตี๋ยวเรือในแบรนด์ “เกศเตี๋ยว” มาบุกตลาดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากซุ่มศึกษาและพัฒนาคอนเซ็ปต์จนมั่นใจ ซึ่งถือเป็นแบรนด์แรกในเครือที่แตกไลน์มาสู่ร้านอาหารไทย ที่สร้างปรากฏการณ์ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือคิวแน่นตลอดทั้งวันมากว่า 5 เดือนที่เปิดให้บริการ ที่สำคัญยังสามารถคืนทุนได้ภายใน 3 เดือน และกวาดยอดขายรวมไปมากกว่า 30 ล้านบาท

“เกศเตี๋ยว” ชื่อนี้มีที่มา

ชุติมาเล่าต่อว่า ชื่อเกศเตี๋ยวนั้นไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่มาจากชื่อของตัวเองพร้อมฉายาที่เพื่อนตั้งให้สมัยเรียน

“ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสิ่งที่อยู่ในใจมาตลอด แต่เพิ่งมีโอกาสได้มาทำจริงจัง เพราะสมัยเด็ก เราก็เป็นมือปรุงก๋วยเตี๋ยวของเพื่อน จนได้ฉายา ‘เกศเตี๋ยว’ บวกกับชอบกินอาหารรสจัด ชอบทำอาหารไทย ดังนั้น พอเห็นช่องว่างในตลาด เลยตัดสินใจปลุกปั้นแบรนด์เกศเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยวเรือที่กินได้ทุกวัน อร่อยแบบไม่ต้องปรุง โดยเอาฉายาที่เพื่อนเรียกมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์ เลือกปักหมุดที่สยามสแควร์ซอย 3 ซึ่งเป็นโลเคชันที่คุ้นเคย ราคาเริ่มตั้งแต่ 9 บาท ไปจนถึงเนื้อแพงๆ 400-500 บาท หลังจากเปิดมาร่วม 5 เดือน ก็ได้กระแสตอบรับถล่มทลายจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ถือว่าเรามาถูกทาง เกศกล้าพูดเลยว่า ตอนนี้ถ้าจะเปิดร้านอาหารต้องใช้เวลาในการคืนทุนภายใน 3 เดือน ถึงจะยั่งยืน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไปไวมาก” ชุติมาเล่าถึงที่มาของชื่อเกศเตี๋ยว

ทำธุรกิจยุคนี้ ต้องเป็นปลาไวและอ่านเกมให้ขาด

นอกจากนั้น ในปีนี้รวยไม่หยุดยังมีแผนเปิดแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่เพิ่มเติมอีก 8 แบรนด์ ซึ่งมีทั้งแบรนด์ใหม่ที่ปั้นเองและแบรนด์ที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากเกาหลี ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยจะทยอยเปิดตัวภายในไตรมาส 3 ของปี 2568 ทั้งหมด

โดยทั้ง 8 แบรนด์ แบ่งเป็นแบรนด์ระดับแมส 6 แบรนด์ ได้แก่ Standard Bun จะเปิดที่ Siam Square Block I, เกศเตี๋ยวป๊อก ป๊อก & ต้มยำ สยามสแควร์ซอย 10, ข้าวแกง & ปลาทู สยามสแควร์ซอย 10, Chago สยามสแควร์วัน, Daelim Korean Noodle สยามสแควร์ และร้านแนว Sushi & Izakaya (ขณะนี้ยังไม่มีชื่อ) โดยจะเปิดที่ Siam Square Block I ส่วนแบรนด์ระดับพรีเมียมจะเปิดเป็นปิ้งย่างเกาหลีอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ Cheong Dum ที่สยามพารากอน และแบรนด์ Hannum ที่ Central Dusit

ในส่วนของแบรนด์เดิมอย่าง nice two Meat u ยังไม่มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติม ส่วน Fire Tiger จะมีการปรับดีไซน์ให้ทันสมัยมากขึ้น จากแนวจีนๆ สีทอง-แดง จะปรับให้เป็นมินิมอล เน้นโทนสี ขาว ดำ เทา เงิน และปรับเมนูให้น้อยลง แต่เพิ่มเมนูใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์รักษ์สุขภาพมากขึ้น อีกทั้งในสาขาแฟล็กชิปที่สยามสแควร์จะมีการนำแบรนด์อื่นในเครือเข้าไปเพิ่มในที่เดียวกัน เพื่อสร้างเป็น hub ที่มีหลายๆ แบรนด์อยู่ในตึกเดียวกัน เพื่อสร้างความหลากหลายและสร้างรายได้ให้กับเครือรวยไม่หยุด

“แม้จะวางกลยุทธ์ปูพรมเปิดแบรนด์ใหม่ แต่การขยายสาขาของแบรนด์ในเครือจะเป็นไปด้วยความรอบคอบมากขึ้น ไม่เน้นขยายสาขาเยอะเหมือนที่ผ่านมา โดยจะดูกระแสตอบรับก่อน เพราะจากประสบการณ์ที่ลองขยายสาขาของแบรนด์ในพอร์ตฯ ไปยังโลเคชันต่างๆ ทำให้เรียนรู้ว่า แบรนด์ไหนเหมาะกับลูกค้าในโลเคชันไหน บางที่มันก็ไม่แมตช์กัน ที่สำคัญการทำธุรกิจยุคนี้ นอกจากจะต้องเป็นปลาไวแล้ว ต้องอ่านเกมให้ขาด ถ้าเห็นว่าสาขาหรือธุรกิจไหนอาจจะทำผลงานได้ไม่ดี หรือเติบโตยากก็ไม่ควรยื้อ มันอาจจะหมดยุคที่เราจะขยายสาขาของแบรนด์เดิม แต่ถึงเวลาเปิดแบรนด์ใหม่ที่ตอบโจทย์ในยุคนี้มากกว่า” นันทนัชกล่าว

นอกจากนั้น รวยไม่หยุดยังวางแผนเตรียมส่ง “เกศเตี๋ยว” ในรูปแบบซองไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีกด้วย โดยเล็งส่งไปขายในประเทศจีน ยุโรป และอเมริกา

ทั้งนี้ งบลงทุนสำหรับปี 2568 จะอยู่ที่ราวๆ 200 ล้านบาท โดยรวยไม่หยุดตั้งเป้าว่า ด้วยกลยุทธ์การขยายแบรนด์ใหม่ในปีนี้จะสามารถดันรายได้ของเครือให้โตขึ้นราวๆ 20% และทำให้รายได้ทะยานสู่หลักพันล้าน หลังจากปีที่ผ่านมาทำรายได้รวมไปที่ 770 ล้านบาท

“ถ้าถามว่า Goal ของเรายังต้องการเป็นเบอร์หนึ่งของร้านอาหารเกาหลีอยู่ไหม แน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยน เราต้องปรับ วันนี้สิ่งที่เราต้องการคือให้ทุกแบรนด์ในเครือรวยไม่หยุดสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตราบที่ยังเห็นช่องว่างในตลาด รวยไม่หยุดก็พร้อมเดินหน้าเติมแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตฯ เสมอ” ชุติมาทิ้งท้าย.