“ตระกูลมหากิจศิริ” เจอวิบากกรรมซ้ำซ้อนจนต้องจับตาว่าจะผ่านพ้นวิกฤตหนักหนาสาหัสอย่างไร ทั้งเรื่องข้อพิพาทกับยักษ์ใหญ่ระดับโลก “เนสท์เล่” เจ้าของแบรนด์ “Nescafé” กรณีไม่ต่อสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส (QCP) ซึ่งกลุ่มมหากิจศิริถือหุ้นรวม 50% และทำท่าจะหมดหวังเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นายประยุทธ มหากิจศิริ กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัท เลควูดคันทรี่คลับ จำกัด ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ สั่งจำคุก กรณีการออกเอกสารสิทธิ์เกี่ยวกับที่ดิน น.ส. 3ก และโฉนดที่ดิน ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา มารังวัดแบ่งแยกและรวมโฉนด ทำให้มีเนื้อที่ดินเพิ่มขึ้น 189 ไร่ จากที่ดินของสนามกอล์ฟเมาน์เท่น ครีก ที่มีเนื้อที่ดินทั้งหมด 2,304 ไร่ ของบริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) ที่มีนายประยุทธ กรรมการบริหาร เเละเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตเกี่ยวกับการออกโฉนดในเขตที่ดินของรัฐ เป็นเขตป่าสงวนและเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) โดยมิชอบ
ทั้งนี้ ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 อ่านคำพิพากษาลงโทษ นายประยุทธ มหากิจศิริ จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 149 ประกอบ ม.86 กระทงละ 4 ปี 6 กระทง รวม 24 ปี และนางสาวอุษณา มหากิจศิริ ลูกสาวสุดท้องของนายประยุทธ ฐานเป็นผู้มอบอำนาจให้นำชี้ที่ดินข้างเคียง มีความผิดตาม ป. อาญา ม. 149 ประกอบ ม. 86 กระทงละ 4 ปี 4 กระทง รวม 12 ปี ส่วนจำเลยรายอื่น ศาลสั่งจำคุกทุกราย
แม้ในที่สุด เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวทั้งสองคนระหว่างการอุทธรณ์ วางเงินประกันคนละ 1 ล้านบาท และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น แต่ยังต้องจับตาคดีจะสิ้นสุดในรูปแบบใด
สำหรับ อุษณา มหากิจศิริ นักธุรกิจสาวคนรุ่นใหม่มากฝีมืออนาคตไกล เป็นลูกสาวคนสุดท้องของประยุทธ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป เจ้าของบริษัท ไทยน็อคซ์ สเตนเลส และไทย คอปเปอร์ หนึ่งในมหาเศรษฐีไทยที่ได้รับการจัดอันดับมหาเศรษฐีปี 2025 จากนิตยสาร Forbes อันดับที่ 1,462 จากจำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลก 3,028 คน มูลค่าทรัพย์สินรวม 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 86,324 ล้านบาท โดยมีพี่น้อง 3 คน คือ อุษณีย์ เฉลิมชัย และอุษณา
อุษณา จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านบริหารจัดการจาก Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาเรียนต่อปริญญาโทด้านธุรกิจ สถาบันศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มต้นเส้นทางการทำงานด้วยการออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นนักวิเคราะห์การเงินในสถาบันมอร์แกน สแตนลีย์ ที่ฮ่องกง เป็นโบรกเกอร์ผู้บริหารพอร์ตหุ้นให้ลูกค้าที่บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และเป็นข้าราชการประจำกระทรวงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน เร่งเรียนรู้ไอเดียต่างๆ จากประยุทธ์ เพื่อต่อยอดธุรกิจของครอบครัว ซึ่งผู้เป็นพ่อเองตั้งเป้าหมายให้ลูกสาวคนนี้ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับแลนด์แบงก์กว่า 2 พันไร่
ปี 2552 อุษณาเปิดบริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ และปลุกปั้นแบรนด์เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ในฐานะผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบูติกเจาะย่านธุรกิจการค้าของกรุงเทพฯ เน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ชูจุดขายราคาจับต้องได้ โดยขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง
ปีที่ผ่านมา บริษัทยังร่วมลงทุนกับ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (KRD) เปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม “เอเวียน ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา” ในย่านกรุงเทพกรีฑา ราคา 16-30 ล้านบาท เจาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ พร้อมลุยอีก 2 โครงการ บ้านเดี่ยวระดับ Luxury AERIE ศรีนครินทร์-สวนหลวง และ AVIAN บางนา กม. 5 บ้านเดี่ยวระดับ Luxury 2 ชั้น เพื่อสร้างการเติบโตบนทำเลใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
ส่วนธุรกิจของครอบครัว เธอดำรงตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการของ PM Group เป็นผู้ดูแลการดำเนินงานของโครงการกอล์ฟขนาดใหญ่ เช่น Mountain Creek Golf Resort, Lakewood Country Club และ Lakewood Links Golf Course รวมทั้งเป็นคณะกรรมการของบริษัทร่วมบริษัทในเครือ และอีกหลายบริษัทภายใต้กลุ่ม PM Group
ปี 2560 ตระกูลมหากิจศิริ ก่อตั้ง บริษัท พีเอช แคปปิตอล ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเอ็ม แคปปิตอล จำกัด สัดส่วน 70:30 ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 60 ล้านบาท โดยประยุทธมอบภารกิจให้ อุษณา ลูกสาวคนสุดท้องของตระกูล เป็นแกนหลักขยายพอร์ตธุรกิจอาหาร โดยประเดิมดีลแรกซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์กิจการพิซซ่าฮัท ประเทศไทย จากบริษัท Yum International และเป็นผู้ถือแฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของ Pizza Hut ประเทศไทย
ข้อตกลงในเวลานั้น คือ พีเอช แคปปิตอล เข้าซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของพิซซ่าฮัท จากยัมฯ ประกอบด้วย ร้านพิซซ่าฮัท 92 สาขา ทีมงาน 100 คน และพนักงานสาขาอีก 5,000-6,000 คน โดยจ่ายค่าแฟรนไชส์ก้อนแรก หลังจากนั้นในแต่ละปีจ่ายส่วนแบ่งจากรายได้เป็นค่าแฟรนไชส์ทุกปี นอกจากนั้น เร่งทยอยรีโนเวตสาขาเดิมทุกแห่งให้ทันสมัยขึ้น และวางแผนขยายสาขาเพิ่ม 100 แห่งภายใน 4 ปี เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เพราะสาขาพิซซ่าฮัท 80-90% จะอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก
มีการพลิกโฉมรูปแบบสาขาจาก “ไดน์นิ่ง” แบบ Full Service มีพนักงานมารับออเดอร์และเสิร์ฟ มาอยู่ในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Casual Service เน้นความรวดเร็วมากขึ้น มีทั้งบริการส่งถึงบ้าน และรับประทานในร้าน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 พิซซ่าฮัท 1150 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด เปิดสาขาใหม่ที่เฮเว่น สมุย คอมมูนิตี้ มอลล์ ซึ่งเป็นสาขาที่ 200 ในประเทศไทย เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวและประกาศเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักทั่วประเทศ ผ่านทำเลที่เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย เช่น ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และจุดท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงการพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ตอกย้ำจุดยืนการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหาร (Innovation Leader) ในตลาดร้านอาหารบริการด่วน (QSR-Quick Service Restaurant)
แน่นอนว่า ขณะที่ธุรกิจกำลังเติบโตสวยงาม คงต้องจับตานักธุรกิจสาวผู้นี้จะก้าวข้ามช่วงวิกฤตที่สุดในชีวิตอย่างไร.