วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 22, 2025
Home > Cover Story > จาก “โรบินฮู้ด” ถึง “ฟู้ดแพนด้า” จับตาเกมกินรวบตลาด 8 หมื่นล้าน

จาก “โรบินฮู้ด” ถึง “ฟู้ดแพนด้า” จับตาเกมกินรวบตลาด 8 หมื่นล้าน

วงการฟู้ดดีลิเวอรีกำลังจับตาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลัง Foodpanda Thailand ประกาศจะปิดบริการในประเทศไทยในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568

เหตุผลข้อสำคัญ คือ สภาพตลาดไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทและเป็นการปรับกลยุทธ์เชิงภูมิศาสตร์ของกลุ่ม Delivery Hero ซึ่งดำเนินการมาแล้วในหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก กานา สโลวะเกีย และสโลวีเนีย เพื่อเปลี่ยนทิศทางพุ่งเป้าตลาดอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีศักยภาพและผลตอบแทนสูงกว่า

จริงๆ แล้ว บริษัท Rocket Internet สตาร์ทอัปด้านอีคอมเมิร์ซในประเทศเยอรมนี เป็นผู้ก่อตั้ง foodpanda เมื่อปี 2555 โดยตั้งเป้าหมายขยายแพลตฟอร์ม Food Delivery ไปทั่วโลก และในปีนั้น foodpanda เริ่มขยายธุรกิจเข้ามาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทย โดยถือเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจฟู้ดดีลิเวอรีออนไลน์เจ้าแรกของประเทศไทย

ต่อมา ในปี 2559 บริษัท Delivery Hero ในเยอรมนี เข้าซื้อกิจการจาก Rocket Internet และเปลี่ยนโลโก้จากเจ้าแพนด้าสีส้มเป็นสีชมพู

เวลานั้น แอปพลิเคชัน foodpanda ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิดแพร่ระบาด มีบริการใน 14 ประเทศ ทั้งตลาดยุโรป ได้แก่ บัลแกเรีย เยอรมนี โรมาเนีย  ตลาดเอเชียตะวันออก ได้แก่  ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย และตลาดเอเชียใต้ ได้แก่ บังกลาเทศ ปากีสถาน

อย่างไรก็ตาม ทั้งสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดและความต้องการใช้บริการลดลงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตปกติ รับประทานอาหารนอกบ้าน รวมถึงราคาสินค้าและบริการในแอปฯ ที่แพงกว่าหน้าร้าน ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อ สั่ง กิน ในร้าน

ช่วงปี  2566 มีรายงานว่า Delivery Hero วางแผนจะขายกิจการ foodpanda ในสิงคโปร์ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ และไทย ให้ แกร็บ (Grab) ของสิงคโปร์ มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านยูโร หรือราว 38,507 ล้านบาท แต่สุดท้ายไม่มีความคืบหน้า

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า foodpanda ในประเทศไทย บริหารจัดการโดย บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 2 มีนาคม 2555 มีทุนจดทะเบียน 204 ล้านบาท ซึ่งหากดูงบการเงินที่แสดงล่าสุด ปี 2566 มียอดขาดทุน 522 ล้านบาท และรวม 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562 ขาดทุนประมาณ 13,557 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า สมรภูมิธุรกิจฟู้ดดีลิเวอรีดุเดือดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เพราะบรรดาผู้ประกอบการจำนวนมากต่างหันมาปลุกปั้นบริการส่งอาหารและสินค้าต่างๆ ของตัวเอง เพื่อลดต้นทุนค่าชาร์จที่ต้องเสียให้แอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะกลุ่มร้านอาหาร กลุ่มร้านค้าปลีก และกลุ่มโมเดิร์นเทรด ทั้งร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เกต เช่น โลตัส บิ๊กซี

ขณะเดียวกัน แม้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารมีมูลค่ามากกว่า 4 แสนล้านบาท แต่ตลาดฟู้ดดีลิเวอรีมีแนวโน้มเติบโตลดลง โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ปี 2567 มีมูลค่ารวม 8.6 หมื่นล้านบาท หดตัว 1.0% มิหนำซ้ำ ปริมาณการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันลดลงราว 3.7% จากปี 2566 และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้บริการราว 48% คิดว่าจะสั่งอาหารน้อยลงด้วย

ปัจจัยหลักๆ มาจากราคาอาหารเฉลี่ยในแอปฯ ปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อปริมาณการสั่ง เพราะต้นทุนสะสมที่สูงทำให้ร้านอาหารต้องปรับราคาขึ้นทั้งหน้าร้านและในแอปฯ เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น 2.2% ขณะที่โปรโมชันส่วนลดต่างๆ ลดลง และเน้นการทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Selective Marketing) มากกว่าการทำตลาด Mass Marketing เช่น เจาะเฉพาะร้านยอดนิยม แบรนด์ดัง และลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

แน่นอนว่า สถานการณ์ขาลงเริ่มส่งสัญญาณชัดเจน เมื่อบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (SCBX) สั่งให้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ตัดตอนยุติบริการแอปพลิเคชัน Robinhood เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ทั้งที่เคยตั้งเป้าหมายจะเป็นซูเปอร์แอปเจ้าแรกของคนไทยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ทุกโมเมนต์ทุกวินาทีในหนึ่งวัน ทั้งบริการสั่งอาหาร บริการสั่งซื้อของ บริการรับส่งของ บริการรถยนต์รับจ้าง และบริการจองห้องพักโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว เช่น หัวหิน ภูเก็ต พัทยา ชลบุรี

แม้ SCBX ระบุเหตุผลว่า ช่วงการให้บริการ 4 ปี สามารถบรรลุภารกิจช่วยเหลือร้านค้า ไรเดอร์ และคนตัวเล็กในช่วงวิกฤตโควิด-19 เมื่อวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไป และธุรกิจต่างๆ เข้าสู่สภาวะปกติ แอปพลิเคชัน Robinhood จึงตัดสินใจยุติบทบาท ตามกรอบการบริหารเงินกองทุน เพื่อสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน

แต่ปมปัญหา คือ การแบกตัวเลขขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 สามารถทำรายได้เพียง 724.45 ล้านบาท แต่ขาดทุนสูงถึง 2,155.73 ล้านบาท และถ้ารวมตั้งแต่ปี 2563-2566 ขาดทุนมากกว่า 3,500 ล้านบาท โดยเฉพาะปี 2564 ขาดทุนก้าวกระโดดจาก 87.83 ล้านบาท เป็น 1,335.37 ล้านบาท

ขณะที่หากย้อนกลับไปตั้งแต่การทดลองให้บริการสั่งอาหารในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2563 ใครๆ ต่างคิดว่า “โรบินฮู้ด” แพลตฟอร์มฟู้ดดีลิเวอรีสัญชาติไทยภายใต้บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือ SCBX จะพลิกโฉมวงการและก้าวไปได้ไกล เพราะบริษัทหยิบจุดขาย เรื่องการแก้ Pain Point ให้ร้านอาหารรายเล็กรายน้อยที่เดิมไม่สามารถค้าขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูง ด้วยการไม่คิดค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์ม (จีพี) และร้านค้าได้รับเงินเร็วภายใน 1 ชั่วโมง ทำให้มีกระแสเงินหมุนเวียนในการต่อยอดธุรกิจในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

นั่นทำให้เครือข่ายร้านอาหารขนาดกลางขนาดเล็กนับหมื่นแห่ร่วมเป็นสมาชิกโรบินฮู้ดและมีลูกค้าใช้บริการชนิดเติบโตแบบก้าวกระโดดแตะเฉลี่ยวันละ 180,000 ออเดอร์ต่อวัน เพราะราคาและปริมาณอาหารเหมือนการซื้อหน้าร้าน นอกจากนั้น ยังนำเอา dynamic delivery pricing เข้ามาช่วยเพิ่มโอกาสทางการขาย ผ่านการกระตุ้นการสั่งอาหารด้วยราคาค่าส่งที่โดนใจทั้งวันและมีส่วนลดจากร้านค้าคืนกำไรกลับสู่ลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โรบินฮู้ดยังมีความน่าสนใจและมีผู้เสนอซื้อกิจการหลายราย โดยในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 คณะกรรมการ SCBX ตัดสินใจมีมติขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด และในวันที่ 30 กันยายน 2567 สามารถปิดดีลขายหุ้นอย่างเป็นทางการให้กลุ่มยิบอินซอย และผู้ร่วมทุนอีก 3 กลุ่ม ได้แก่ บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีที เรนทอล คาร์ จำกัด และ บริษัท ล็อกซบิท จำกัด (มหาชน) คิดเป็นจำนวนหุ้นทั้งหมด 90,160,000 หุ้น มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท

สำหรับบริษัท ยิบอินซอย จำกัด เป็นผู้ให้บริการและพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศไทย ดำเนินธุรกิจมาเกือบร้อยปี  เริ่มต้นจากนายยิบ (Yip) อินซอย (In Tsoi) หลังจบการศึกษาจากประเทศจีนและเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อช่วยกิจการค้าขายของครอบครัว ต่อมาเกิดไอเดียทำธุรกิจเหมืองแร่ในภาคใต้ ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล “ยิบอินซอยแอนด์โก” ในปี 2469 ที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ปี 2473 จดทะเบียนบริษัท ยิบอินซอย จำกัด และย้ายสำนักงานมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ต่อยอดขยายกิจการมากมาย ตั้งแต่นำเข้าสินค้ากลุ่มน้ำมันและปิโตรเลียม รถบรรทุก สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจประกันภัย ค้าปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ ไปจนถึงทำธุรกิจทางการเงิน

ในยุคทายาทรุ่นที่ 2 เริ่มเอาเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้งาน เดินหน้าสู่ธุรกิจเทคโนโลยี เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและติดตั้งคอมพิวเตอร์ให้หน่วยงานรัฐ และพัฒนาสู่การให้บริการโซลูชันทางเทคโนโลยีอื่นๆ จนกระทั่ง มรกต ยิบอินซอย ผู้บริหารรุ่นที่ 3 เข้ามาสานต่ออาณาจักร โดยพุ่งเป้าธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศเต็มรูปแบบและครบวงจร ซึ่งจากข้อมูลปี 2566 ยิบอินซอยมีรายได้รวมกว่า 5,900 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 16% และมีกำไรสุทธิกว่า 129 ล้านบาท

ด้าน LINE MAN ซึ่งวันนี้เป็นผู้นำในตลาด เปิดตัวเมื่อปี 2559 โดย LINE ประกาศจับมือร่วมกับ Wongnai และ Lalamove เปิดตัว “LINE MAN” อย่างเป็นทางการ เริ่มต้นบริการหลัก 3 อย่างในช่วงแรก คือ บริการจัดส่งของ แมสเซนเจอร์ บริการสั่งซื้ออาหารและบริการสั่งของสะดวกซื้อ

ปัจจุบัน LINE MAN สามารถครองส่วนแบ่งตลาดจากจำนวนธุรกรรมที่ 44% และหากเจาะเฉพาะตลาดฟู้ดดีลิเวอรีไทยหลังการถอนตัวของฟู้ดแพนด้าจะเหลือผู้เล่น 4 รายใหญ่ คือ  ไลน์แมน แกร๊บฟู้ด โรบินฮู้ด และช้อปปี้ฟู้ด

ล่าสุด LINE MAN Wongnai เปิดเกมรุกเตรียมเปิดรับไรเดอร์เพิ่มเติมในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ฟู้ดแพนด้าให้บริการ ส่วนกลุ่มร้านค้าสามารถเข้าร่วมขายบน LINE MAN ได้ทันที ซึ่ง LINE MAN จะกลายเป็นผู้เล่นหนึ่งเดียวในไทยที่ให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ

ทว่า เกิดกระแสข่าวว่า กลุ่มยิบอินซอยแสดงท่าทีอยากซื้อกิจการ foodpanda เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ซึ่งนั่นจะทำให้ “ไลน์แมน-โรบินฮู้ด” กลายเป็นคู่แข่งหลักที่กำลังสร้างจุดเปลี่ยนในตลาดที่มีมูลค่ามากกว่า 8 หมื่นล้านบาทอีกครั้ง.