วันอังคาร, ตุลาคม 8, 2024
Home > Cover Story > “JUNO HAIR Thailand” เมื่อซาลอน No.1 จากเกาหลี บุกเมืองไทย

“JUNO HAIR Thailand” เมื่อซาลอน No.1 จากเกาหลี บุกเมืองไทย

นอกจาก K-Entertainment ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ เพลง และศิลปิน ที่เข้ามาตีตลาดและสร้างฐานแฟนคลับได้อย่างเหนียวแน่นในเมืองไทยแล้ว K-Beauty ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบความเป็นเกาหลีเกาใจในเมืองไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เทรนด์การแต่งหน้า รวมไปถึงทรงผมสไตล์เกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยม

ล่าสุด  “JUNO HAIR” (จูโน แฮร์) ซาลอนผมอันดับหนึ่งจากประเทศเกาหลี ที่มีประวัติยาวนานถึง 42 ปี และมีสาขาทั่วประเทศกว่า 180 สาขา ก็ได้ฤกษ์บินลัดฟ้ามาเปิดสาขาในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ โดยปักหมุดใจกลางเมือง ณ โรงแรมกราฟ บนถนนรัชดาภิเษก เป็นสาขาแรก

“JUNO HAIR” ก่อตั้งโดย “คัง ยุน ซอน” (Kang Yun-seon) ผู้ที่มีความชื่นชอบในการทำผมและฝันที่จะเปิดร้านเสริมสวยที่ให้บริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า นั่นทำให้เธอตัดสินใจไปเรียนทำผมที่โรงเรียนสอนเทคนิคการเสริมสวย โดยเป็นคลาสเรียนในตอนเช้าและฝึกปฏิบัติจริงในตอนบ่าย และด้วยพรสวรรค์ที่มีทำให้เธอมีลูกค้าประจำแม้ขณะยังเรียนอยู่ ซึ่งจุดนี้ได้สร้างความมั่นใจให้เธอก้าวเดินในเส้นทางสายนี้อย่างเต็มตัว

ปี ค.ศ.1982 “คัง ยุน ซอน” ตัดสินใจเปิด “ร้านเสริมสวยจุนโอ” ที่ย่านดนอัมดง เขตซองบุก กรุงโซล เป็นที่แรก และหลังจากนั้น “JUNO HAIR” ก็ได้ขยายสาขาอย่างรวดเร็วโดยการบริหารงานด้วยระบบเดียวกันทั้งในกรุงโซลและเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ

ในขณะเดียวกัน คัง ยุน ซอน ก็มองหาโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำผมอย่างเป็นระบบมากขึ้น รวมถึงต้องการฝึกฝนคนในรุ่นต่อๆ ไปให้เข้าสู่วงการทำผมแบบมืออาชีพ ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1993 เธอจึงตัดสินใจไปศึกษาระยะสั้นที่สถาบัน Vidal Sassoon ในอังกฤษ พร้อมกับพนักงาน JUNO HAIR อีก 20 คน และภายหลังกลับจากอังกฤษ จึงได้ขยายธุรกิจไปสู่ “JUNO ACADEMY” สถาบันฝึกอบรมนักออกแบบทรงผม พร้อมกับการเปิดซาลอนผมระดับไฮเอนด์ “AVENUE JUNO” และแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม “Tria Milia” รวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับความงามอื่นๆ

ปี ค.ศ. 2005 JUNO HAIR ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 แบรนด์ผมชั้นนำของโลก และยังได้รับรางวัลแดซัง ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่สำหรับวงการผมของเกาหลี รวมทั้งรางวัลในการประกวดออกแบบทรงผมระดับโลกอีกมากมาย นั่นทำให้ชื่อของ JUNO HAIR กลายเป็นบริษัทชั้นนำในด้าน K-Beauty และเป็นที่รู้จักทั้งในเกาหลีและดังไกลไปทั่วโลก

ปัจจุบัน JUNO HAIR มีจำนวนสาขากว่า 180 แห่ง ทั่วประเทศ มีพนักงานราวๆ 3,500 คน และมียอดขายต่อปีสูงถึง 300,000 ล้านวอน ซึ่งในแต่ละปี JUNO ACADEMY ได้สร้างช่างทำผมหน้าใหม่เข้าสู่วงการมากกว่า 400 คน และกลายเป็นหนึ่งในผู้กำหนดทิศทางแฟชั่นทรงผมของเกาหลี โดยมีโอกาสได้ดูแลผมให้กับไอดอลเกาหลีหลายๆ คน

เคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ JUNO HAIR ยืนระยะมาได้นานขนาดนี้และยังสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น “คัง ยุน ซอน” เปิดเผยว่า มาจากการให้ความสำคัญต่อพื้นฐานการออกแบบดูแลทรงผมสำหรับคนทุกเพศทุกวัย มีการเรียนการสอนทั้งเทคนิคและบริการด้วยหลักสูตรที่สั่งสมมาจากประสบการณ์นานกว่า 32 ปี อีกทั้งยังอัปเดตเทรนด์ของโลกแฟชั่นและพัฒนาทักษะของบุคลากรอยู่เสมอ

ล่าสุดเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา JUNO HAIR ตัดสินใจบินลัดฟ้ามาเปิดสาขาแรกในไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ JUNO HAIR ได้เปิดสาขาในต่างประเทศทั้งจีน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ไปก่อนแล้ว แต่ล้วนเป็นในลักษณะของการร่วมทุนทั้งสิ้น สำหรับครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ JUNO HAIR ออกนอกประเทศในฐานะแฟรนไชส์ โดยมีบริษัท โซวัน จำกัด ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง โชติกร ปัญจทรัพย์ และ ภูริวัจน์ จิตติวัชราทัศน์ เป็นผู้ถือสิทธิ์ Master Franchise ในไทย

แน่นอนว่าด้วยชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของแบรนด์ JUNO HAIR ประกอบกับโอกาสของตลาดในเมืองไทย ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจนำ JUNO HAIR เข้ามาเปิดในไทย โดยใช้เวลาในการเจรจานานกว่า 2 ปี กว่าจะได้รับการตอบตกลงจากผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง คัง ยุน ซอน

“ปัจจุบันเทรนด์แฟชั่น ความงาม และทรงผมสไตล์เกาหลี เป็นที่นิยมอย่างสูงไม่เฉพาะหนุ่มสาววัยรุ่น แต่ยังเป็นที่นิยมของทุกเจเนอเรชัน ขณะที่ในไทยมีแบรนด์แฟชั่นและความงามจากเกาหลีกันครบแล้ว แต่สำหรับร้านทำผมสไตล์เกาหลีจริงๆ ยังไม่เคยมีมาก่อน เป็นเหตุให้เรามองเห็นโอกาสของตลาดนี้ จึงได้เจรจาติดต่อ จนได้รับความไว้วางใจให้นำเข้า ‘JUNO HAIR’ ซาลอนผมอันดับหนึ่งจากเกาหลี มาให้ลูกค้าชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำผมแบบออริจินอลครบวงจรสไตล์เกาหลีเป็นครั้งแรก” โชติกรกล่าวถึงที่มาของ JUNO HAIR ในประเทศไทย ก่อนเสริมว่า

“อย่างแรกที่ผมถามคุณคังซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งคือ อะไรคือจุดแข็งของ JUNO HAIR ซึ่งเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ คำตอบที่ได้คือ เขาขายความไว้ใจ ลูกค้าต้องมั่นใจได้ว่ามาทำผมที่ JUNO HAIR ไม่ว่าสาขาไหน ลูกค้าจะต้องได้มาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน และสิ่งที่เขาบอกพวกเราเสมอคือ ธุรกิจซาลอนไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ อย่างที่พวกผมเคยทำ เพราะธุรกิจซาลอนเป็นธุรกิจที่ใช้เวลา และขายความเชื่อใจ ถ้าวันนี้เราเชิญเขามาตัดผมร้านเราไม่ได้ คุณต้องรอไปอีก 2 เดือนข้างหน้ากว่าจะมีโอกาสที่เขาจะกลับมาอีกครั้ง”

สำหรับ JUNO HAIR สาขาแรกในไทยนั้น โชติกรเลือกปักหมุดในพื้นที่ของโรงแรมกราฟ รัชดาภิเษก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของเขาเอง เพื่อเป็นฐานที่มั่นก่อนขยายเข้าสู่ย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ในระยะต่อไป โดยใช้เงินลงทุนไปมากกว่า 50 ล้านบาท เพื่อให้ได้มาตรฐานตามแบบฉบับของ JUNO HAIR ทั้งการบริการและการตกแต่งร้านที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากที่เกาหลีเป๊ะๆ โดยทุกพื้นที่ของซาลอนจะมีทีมงานจากเกาหลีมาร่วมให้คำแนะนำในการกำหนดสัดส่วน และตำแหน่งจัดวางของ ส่วนเก้าอี้ทำผม กระจกเงา และอุปกรณ์ต่างๆ ของช่างทำผมล้วนส่งตรงจากเกาหลีทั้งสิ้น

“ผมอยากให้ JUNO HAIR ที่ไทยเหมือนที่เกาหลีเป๊ะๆ แบบหลับตาปิ๊งจากเกาหลีมาโผล่ที่เมืองไทยเลย ทั้งการตกแต่งร้าน บรรยากาศ และการบริการ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอน เก้าอี้ กระจก อุปกรณ์ทำผม เราเอามาจากเกาหลีทั้งหมด เพราะอยากให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์เดียวกันกับที่เกาหลี”

นอกจากการตกแต่งร้านและอุปกรณ์ที่นำเข้าจากเกาหลีแล้ว ในส่วนของช่างทำผม โชติกรและภูริวัจน์เลือกวิธีการส่งช่างตัดผมชาวไทยไปฝึกอบรมกับมาสเตอร์หรืออาจารย์ผู้สอนจาก JUNO Academy ที่เกาหลีโดยตรง ซึ่งเป็นการสอนแบบตัวต่อตัวเพื่อสร้างความเข้าใจในเทคนิคการทำผมสไตล์เกาหลี ความแตกต่างของลักษณะเส้นผมเฉพาะบุคคล รวมถึงอัปเดตเทรนด์แฟชั่นผมล่าสุด และยังมีมาสเตอร์ชาวเกาหลีมาประจำที่เมืองไทยเพื่อมาสอนทีมงานของ JUNO HAIR เมืองไทยโดยเฉพาะอีกด้วย

ซึ่งนี่ถือเป็นประเด็นสำคัญ เพราะตามข้อกฎหมายไทยกำหนดให้อาชีพช่างตัดผม/เสริมสวย เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย นั่นทำให้ทั้งโชติกรและภูริวัจน์ตัดสินใจส่งช่างตัดผมชาวไทยไปฝึกอบรมที่ JUNO Academy เกาหลีแทน

“ช่างในร้านเป็นคนไทยทั้งหมด JUNO HAIR น้อมรับทำตามกฎหมายอย่างเต็มที่เพราะเป็นกฎหมายที่ส่งเสริมอาชีพให้กับคนไทย ก่อนเริ่มธุรกิจจึงมีการคุยกันก่อนว่า ‘เราจะทำให้มันถูกต้อง’ เพราะในอนาคตถ้ามีการขยายสาขาไปเรื่อยๆ แล้วทำแบบเทาๆ วันหน้ามันคงไปได้ไม่ไกล อาจมีการชะงักระหว่างทาง ซึ่ง JUNO HAIR ประเทศไทยไม่อยากเป็นแบบนั้น จึงเปลี่ยนจากให้คนเกาหลีมาตัดซึ่งไม่ถูกกฎหมาย เป็นการส่งช่างไทยไปฝึกที่เกาหลีแทน ซึ่งถูกกฎหมายและยังเป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับคนไทย”

ไม่เพียงช่างทำผมที่ต้องไปฝึกที่เกาหลี แต่บุคลากรทั้งผู้จัดการร้านและแผนกบริการต้องผ่านการฝึกที่ JUNO Academy ที่เกาหลีทุกคน

“ช่างตัดผมกับการบริการคือสิ่งที่คุณคังให้ความสำคัญมาก ไม่ใช่ว่ามีประสบการณ์มา 10 ปี 20 ปี แล้วมาถึงเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม JUNO HAIR แล้วไปตัดได้เลย อย่างนี้ไม่ใช่ แต่การจะเป็น JUNO Man คุณต้องไปเรียนจับกรรไกรใหม่ ต้องเริ่มจากการสระผมใหม่ อันนี้ซีเรียสมากปล่อยผ่านไม่ได้ ทางเราจะคุยกับช่างทุกคนว่ารับได้หรือไม่ตั้งแต่วันแรก ถ้ารับได้ในการต้องฝึกใหม่ก็ไปกันต่อ”

ปัจจุบัน JUNO HAIR ประเทศไทย มีช่างทั้งหมด 11 คน และมีช่างฝึกหัดอีก 18 คน มีบริการครบทั้งตัดผม ทรีตเมนต์ ทำสี ดัด ยืด รวมถึงบริการซิกเนเจอร์อย่าง JUNO SCALP TREATMENTS ทรีตเมนต์เพื่อหนังศีรษะโดยเฉพาะ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในเกาหลี โดยสามารถรองรับลูกค้าต่อวันได้ราวๆ 80-100 คน

ส่วนแผนธุรกิจต่อจากนี้ โชติกร และ ภูริวัจน์มีแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขาทั่วประเทศไทย ภายในระยะเวลา 10 ปี กับงบลงทุนราวๆ 300-500 ล้านบาท โดยในระยะแรกเล็งเปิดสาขาในย่าน CBD เน้นกระจายไปตามห้างสรรพสินค้า เช่น One Bangkok, Dusit Central Park, Central World, Central Embassy ก่อนขยายไปยังหัวเมืองใหญ่หรือเมืองท่องเที่ยว อย่าง เชียงใหม่ ภูเก็ต ในระยะต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดตั้ง JUNO Academy ขึ้นในเมืองไทย เพื่อสร้างและผลักดันช่างผมรุ่นใหม่ๆ ที่มีคุณภาพระดับสากลเข้าสู่ตลาดเมืองไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางของเหล่าช่างผมในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับ คัง ยุน ซอน เพื่อกำหนดรูปแบบต่อไป

“ธุรกิจซาลอนในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดอยู่ประมาณ 60,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการประมาณ 120,000 กว่าราย ส่วนของ JUNO HAIR ตั้งเป้าอยากดึงมาร์เก็ตแชร์ให้ได้ 5-7% ในตลาดนี้ แต่เป้าหมายที่สำคัญคือการทำให้ JUNO HAIR ประเทศไทย เป็น first of mind ที่สามารถครองใจทุกคนที่รักในการทำผมและชอบในธุรกิจซาลอน และเป็นหนึ่งในธุรกิจซาลอนที่เป็นสไตล์เกาหลีจริงๆ” ภูริวัจน์ จิตติวัชราทัศน์ กล่าวทิ้งท้าย.