วันอังคาร, ตุลาคม 8, 2024
Home > New&Trend > ลอรีอัลทำผลงานดีเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 เติบโตในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ลอรีอัลทำผลงานดีเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 เติบโตในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ลอรีอัลแถลงผลประกอบการทำผลงานดีเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 เติบโตในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นอีกปีที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นเหนือคู่แข่งในตลาด

นายนิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวว่า “ปี 2566 ถือเป็นปีที่ลอรีอัล กรุ๊ป ประสบความสำเร็จอย่างมาก ด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ จิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการ และความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมงาน เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถเติบโตได้ในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยบริษัทยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่งในตลาดความงามที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ในสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทาย ไม่ว่าจะด้วยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และตลาดความงามที่ซบเซาของจีน เราก็ยังสามารถทำสถิติการเติบโตได้ดีที่สุด ในรอบกว่า 20 ปี (ไม่นับรวมปี 2564) การเติบโตเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของโมเดลแบบหลายขั้วของเราได้อย่างชัดเจน และผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่เราสามารถเติบโตในตลาดเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง เมื่อเราเดินหน้าต่อไปในปี 2567 เรายังคงมองว่าตลาดความงามมีแนวโน้มสดใส และมั่นใจในศักยภาพการทำงานที่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง พร้อมที่จะผลักดันยอดขายและกำไรให้เติบโตต่อไปอีกปี ลอรีอัลมองไปยังอนาคต เพื่อทำให้โลกแห่งอนาคตมีบิวตี้เทค (Beauty Tech) เป็นแกนหลัก โดยบิวตี้เทคจะเข้ามากำหนดทิศทางอุตสาหกรรมของเรา และเปิดโอกาสให้เราเสริมสร้างความเป็นผู้นำต่อไป ด้วยการช่วยให้เรารู้จักผู้บริโภคดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนและผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้เราดำเนินงานได้อย่างเฉียบคมมากยิ่งขึ้น”

สรุปยอดขายในปี 2566 ลอรีอัล กรุ๊ปมียอดขายมีมูลค่ารวม 4.118 หมื่นล้านยูโร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้น 11.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้น 7.6% ตามที่ได้มีการรายงาน

ในด้านความยั่งยืน ลอรีอัล กรุ๊ปได้จัดตั้งกองทุนฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศของลอรีอัล มูลค่า 15 ล้านยูโร เพื่อช่วยเหลือชุมชนที่เปราะบางในการเตรียมความพร้อมและฟื้นฟูจากภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน โดยลอรีอัลเป็นเพียงบริษัทหนึ่งเดียวของโลกที่ได้รับสกอร์ ‘AAA’ จากซีดีพี เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกัน และยังได้รับเหรียญแพลทินัมจากอีโควาดิส ซึ่งจัดอันดับให้ลอรีอัลติดอันดับบริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุด 1% ของโลกในแง่ผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

สรุปผลการดำเนินงานตามแผนก

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 7.6%

แผนกนี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในตลาดความงามสำหรับมืออาชีพ โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้กลยุทธ์ที่พุ่งเป้าไปยังผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม รวมทั้งการเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางการขายสินค้าหลากหลายช่องทาง (Omni-channel) และความสามารถในการครอบครองตลาดใหม่ ๆ

แบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดทั้ง 2 แบรนด์ของแผนกธุรกิจนี้อย่าง ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล (L’Oréal Professionnel) และแบรนด์เคเรสตาส (Kérastase) สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมยังคงเติบโตอย่างเข้มแข็ง เพราะได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของแบรนด์เคเรสตาส โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ เจเนซิส (Genesis) และโครโนโลจิสต์ (Chronologiste) เพราะผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการใช้ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในการดูแลเส้นผม นอกจากนี้ การขยายตัวยังได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยจากแบรนด์ ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล รวมถึงผลิตภัณฑ์ เมทัล ดีท็อกซ์ (Metal Detox) และแอ็บโซลูท รีแพร์ โมเลคิวลาร์ (Absolut Repair Molecular) ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์ระดับไอคอน เช่น เชดส์ อีคิว (Shades EQ) โดย เรดเคน (Redken) และอินัว (Inoa) โฉมใหม่โดย ลอรีอัล โปรเฟสชันแนล ในแวดวงความงามระดับมืออาชีพนั้น แผนกธุรกิจนี้ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำโดยได้แรงหนุนจากรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างบิวตี้เทคที่เหนือชั้น ซึ่งช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C

แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคเติบโตมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี โดยทะยานขึ้นถึง 12.6%

แผนกนี้สามารถทำผลงานได้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดแมส (Mass Market) ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งทะลุหลัก 1.5 หมื่นล้านยูโร โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา แผนกธุรกิจผลิตภัณฑ์อุปโภคเติบโตทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า ด้วยการใช้กลยุทธ์ในการยกระดับการเข้าถึงผู้บริโภคและการพัฒนาสินค้าให้อยู่ในระดับพรีเมียม แบรนด์หลักทั้ง 4 แบรนด์เติบโตในอัตราเลขสองหลัก โดยที่ลอรีอัล ปารีส (L’Oréal Paris) สามารถทำยอดขายได้สูงกว่า 7 พันล้านยูโร

กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักทั้งหมดมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากนวัตกรรมที่ทันสมัยและการดำเนินการที่ยอดเยี่ยม โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เมคอัพมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของแผนกธุรกิจนี้ ด้วยการเปิดตัว เซอร์เรียล มาสคาร่า (Surreal Mascara) โดย เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (Maybelline New York) ลิปสติก อินฟอลลิเบิล แมท รีซิสแทนซ์ (Infallible Matte Resistance) โดย ลอรีอัล ปารีส และลิปกลอสแฟต ออยล์ (Fat Oil) โดย นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมคอัพ (NYX Professional Makeup) ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมก็คึกคักไม่แพ้กัน ด้วยอานิสงส์จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมอย่าง เอลวีฟ บอนด์ รีแพร์ (Elvive Bond Repair) โดยลอรีอัล ปารีส และผลิตภัณฑ์สีผม การ์นิเยร์ กู๊ด (Garnier Good) ขณะที่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเปิดตัว การ์นิเยร์ ฟาสต์ ไบรท์ (Garnier Fast Bright) สูตรวิตามินซี ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก เช่นเดียวกับการเปิดตัวรีไวทัลลิฟท์ คลินิคัล (Revitalift Clinical) และไกลโคลิค ไบรท์ (Glycolic Bright) โดย ลอรีอัล ปารีส

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมีการเติบโตที่ระดับ 4.5% และก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกในด้านความงามชั้นสูง

หากไม่นับรวมภูมิภาคเอเชียเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากร (Travel Retail) ที่เปลี่ยนแปลงไป และตลาดความงามที่ซบเซาของจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงของลอรีอัลมีการเติบโตในอัตราเลขสองหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในแบรนด์ต่าง ๆ ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมถึงกลยุทธ์ช่องทางการขายสินค้าหลากหลายช่องทาง แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงของลอรีอัลได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านความงามชั้นสูง ด้วยแรงผลักดันที่แข็งแกร่งจากทั้งในตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในประเทศจีน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอมยังคงเป็นดาวเด่นเช่นเคย นำโดยแบรนด์ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent) ด้วยน้ำหอมยอดนิยมระดับโลก ลิเบรอ (Libre) และความสำเร็จในการเปิดตัวน้ำหอม มายเซลฟ์ (MYSLF) นอกจากนั้นยังมี บอร์น อิน โรมา (Born in Roma) โดย วาเลนติโน่ (Valentino), พาราด๊อกซ์ (Paradoxe) โดยพราด้า (Prada), วอนเต็ด (Wanted) โดยอัซซาโร่ (Azzaro) และ แองเจิล (Angel) โดย มูแกลร์ (Mugler) ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์นั้น แบรนด์ชั้นสูง เฮเลนา รูบินสไตน์ (Helena Rubinstein) ทำยอดขายได้สูงกว่า 1 พันล้านยูโรเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่แบรนด์ ทาคามิ (Takami) ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโตอย่างโดดเด่นที่ระดับ 28.4%

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเติบโตเร็วเป็นสองเท่าของตลาดเวชสำอางที่คึกคัก และมีการเติบโตในอัตราเลขสองหลักเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นกว่าสองเท่าภายในระยะเวลาเพียงสามปี โดยได้รับแรงหนุนจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ตลอดจนช่องทางจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ครอบคลุม และความเป็นผู้นำอย่างยาวนานด้านผลิตภัณฑ์ที่สั่งจ่ายโดยแพทย์

ผลิตภัณฑ์ ลาโรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) ซึ่งมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของแผนกธุรกิจนี้มากที่สุด ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่นเช่นเคย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ยูวีมูน400 (UVmune400) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการปกป้องผิวจากแสงแดด รวมถึง ซิคาพลาสต์ (Cicaplast) นวัตกรรมไมโครไบโอมที่ช่วยปลอบประโลมและฟื้นบำรุงผิว ขณะเดียวกัน แบรนด์ เซราวี (CeraVe) ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกา ด้วยการครองตำแหน่งแบรนด์สกินแคร์อันดับหนึ่ง และในอีกหลายประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ วิชี่ (Vichy) ก็เติบโตมากที่สุดในรอบ 18 ปี ส่วนแบรนด์ความงามอื่น ๆ ก็เติบโตในอัตราเลขสองหลัก

ยิ่งไปกว่านั้น แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางของลอรีอัลยังมีแบรนด์เด่นถึง 3 แบรนด์ที่ติดอันดับแบรนด์ที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังมากที่สุดในโลก 4 อันดับแรก

สรุปตามภูมิภาค

SAPMENA – SSA
ยอดขายในภูมิภาค SAPMENA-SSA เติบโตอย่างโดดเด่นที่ระดับ 23.2%

ในภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) การเติบโตเป็นไปอย่างทั่วถึง เนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ แผนกธุรกิจ และตลาดแต่ละประเทศ ต่างเติบโตในอัตราเลขสองหลัก ขณะที่การเติบโตของมูลค่าและปริมาณแบบผสมผสานก็มีส่วนสนับสนุนการเติบโตอย่างมาก

กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอมเติบโตมากที่สุด ตามมาด้วยสกินแคร์และเครื่องสำอาง ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับการยกระดับให้มีความพรีเมียมมากขึ้น แผนกธุรกิจที่ทำผลงานได้โดดเด่นคือแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยแบรนด์ เซราวี (CeraVe) ยังคงประสบความสำเร็จในการขยายตัว และแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งทุกแบรนด์เติบโตในอัตราเลขสองหลัก ส่วนตลาดในแต่ละประเทศนั้น ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และกลุ่มรัฐอ่าวอาหรับ (GCC Gulf Cooperation Council) มีส่วนสนับสนุนการเติบโตมากที่สุด โดยตลาดแต่ละแห่งมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 20% นอกจากนี้ ยอดขายออนไลน์ยังเติบโตเร็วกว่าออฟไลน์ โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายในอินเดียและเวียดนาม

ส่วนในภูมิภาค SSA (แอฟริกาใต้ซาฮารา) ก็มีการเติบโตเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากทุกประเทศต่างเติบโตในอัตราเลขสองหลัก โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางเป็นผู้นำการเติบโต ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคและแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเป็นแผนกธุรกิจที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุด

ยุโรป เติบโต 16.0 %
อเมริกาเหนือ เติบโต 11.8%
เอเชียเหนือ หดตัว 0.9%
ลาตินอเมริกา เติบโต 24.4%