วันอาทิตย์, ตุลาคม 13, 2024
Home > Cover Story > อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ดัน “เถ้าแก่น้อย” ปักหมุดธุรกิจหมื่นล้าน

อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ดัน “เถ้าแก่น้อย” ปักหมุดธุรกิจหมื่นล้าน

เถ้าแก่น้อยตั้งเป้าหมายในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ขยายแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ระดับ Global ขยายฐานการขายครอบคลุมระดับ Global Scale มากขึ้น รวมถึงทำธุรกิจในสเกลที่อยู่ในระดับ International โดยวางเป้าเติบโตเป็นธุรกิจหมื่นล้านให้ได้…

ต๊อบ อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จํากัด (มหาชน) กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศา” ถึงหมุดหมายการก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ หลังฟันฝ่าธุรกิจ สร้าง Big Surprise ในตลาดสแน็กที่มีแต่ผู้เล่นยักษ์ใหญ่ ยึดตำแหน่งเจ้าตลาด “สาหร่าย” ยาวนานร่วม 20 ปี และกลายเป็นมหาเศรษฐีไทยวัย 32 ปีที่มีอายุน้อยที่สุดของนิตยสาร Forbes ประจำปี 2560  อันดับที่ 44 มูลค่าทรัพย์สิน 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อิทธิพัทธ์ เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2527 เป็นชาวจังหวัดบึงกาฬ ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนทำธุรกิจด้านการศึกษา มีพี่ชายทำงานอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน

เขาจบประถมศึกษาจากโรงเรียนปานะพันธ์วิทยา มัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ เมืองทองธานี และมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ปัจจุบันจบระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

สมัยวัยรุ่นเขาชอบเล่นเกมมาก เคยมีรายได้จากการเล่นเกมออนไลน์สูงสุดเดือนละ 4 แสนบาท แต่ชีวิตวัยรุ่นที่สนุกสนานต้องสะดุด เมื่อครอบครัวเจอผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจมีหนี้สินมากกว่า 40 ล้านบาท

อิทธิพัทธ์พยายามคิดหาวิธีสร้างรายได้ให้ครอบครัว ตั้งแต่ขายไอเทมเกม ขายเครื่องเล่นซีดี ขายเครื่องดื่มวิตามิน กระทั่งเปลี่ยนมาคั่วเกาลัดขาย เพราะเป็นคนชอบกินเกาลัด

เขาใช้เวลาอยู่นานคิดค้นวิธีคั่วเกาลัดให้อร่อยบวกกลยุทธ์การตลาดโดนใจ ปรากฏว่า ธุรกิจไปได้ดีจนขยายร้านกว่า 30 สาขา แต่ต่อมาศูนย์การค้าไม่อนุญาตให้คั่วเกาลัด ทำให้ยอดขายตกลงครึ่งหนึ่ง จนปิ๊งไอเดียหันมาวางขายสาหร่ายทอดกรอบ และสามารถสร้างรายได้แซงหน้าเกาลัด

21 กันยายน 2547 เด็กหนุ่มวัยยี่สิบตัดสินใจลุยธุรกิจใหม่อย่างเต็มตัว เขาจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสาหร่ายแปรรูป แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตที่สำนักงานท่าอิฐและหมู่บ้านณีรวัลย์ โดยพัฒนารสชาติ ทำหีบห่อเพื่อเก็บสาหร่ายได้นานขึ้น และออกแบบแพ็กเกจจิ้งสวยงามโดนใจกลุ่มเป้าหมาย

ในเวลาต่อมา สาหร่ายทะเลทอดกรอบ “เถ้าแก่น้อย” ได้เข้ามาวางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีสามารถสร้างยอดขายพุ่งพรวดมากกว่า 1,500 ล้านบาท โดยมีกลุ่มลูกค้าจำนวนมากติดใจรสชาติ ยอดขายเติบโตและพูดกันปากต่อปาก ซึ่ง ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล บิ๊กบอส บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด(มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น ถึงกับเอ่ยปากกับสื่ออยากเจอตัวเถ้าแก่น้อยคนนี้มาก

ความเก่งกาจของอิทธิพัทธ์ทำให้ค่ายหนังจีทีเอช นำเค้าโครงชีวประวัติไปสร้างภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นไทย เพราะต๊อบสามารถพลิกชีวิตจากเด็กติดเกมออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน กลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านและไม่มีใครเด็กเกินจะรวย ออกฉายเมื่อปี 2554

อิทธิพัทธ์บอกกับ “ผู้จัดการ360องศา” ว่า คีย์ไฮไลต์สำคัญที่ทำให้เถ้าแก่น้อยประสบความสำเร็จ  คือ Passion และความเชื่อในสิ่งที่อยากจะสร้างบางสิ่งที่ดีให้ประสบความสำเร็จ ความมุมานะ อดทน สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีมาตลอด เชื่อมั่นในแบรนด์และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคอยู่เสมอ

“ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต เถ้าแก่น้อยจะเรียนรู้ความผิดพลาด ข้อบกพร่องต่างๆ มาพัฒนาปรับปรุงอย่างทันท่วงที การเป็นองค์กรที่พยายามปรับตัวอยู่เสมอน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราฟันฝ่าวิกฤตมาได้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิดเป็นช่วงที่แบรนด์เถ้าแก่น้อยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเหมือนหลายๆ แบรนด์ในตลาด เรากลับมาวิเคราะห์พิจารณาตัวเอง พยายามพัฒนาศักยภาพ ใช้วิกฤตมาจัดการเรื่องของหลังบ้าน และเตรียมพร้อมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

เขาย้ำว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทิศทางการเติบโตเป็นไปอย่างที่วางไว้อย่างน่าพอใจ ด้วยกลยุทธ์ 3 Go ประกอบด้วย Go firm คือการปรับแต่งองค์กรให้มีประสิทธิภาพ ลดช่องว่าง ลดจุดอ่อนให้มากที่สุด

Go broad ขยายฐานลูกค้าผ่านตลาด โดยปรับปรุงเรื่องการขายและการตลาดให้กว้างขึ้น เข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น รวมถึงการทำสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ในตลาดใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ๆ

กลยุทธ์สุดท้าย Go global ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่เถ้าแก่น้อยกำลังเร่งเดินหน้าขยายแบรนด์ให้เป็นแบรนด์ระดับ Global ขยายฐานการขายให้ครอบคลุมระดับ Global scale และอยู่ในระดับ International เพื่อยกระดับจากธุรกิจที่มีรายได้ระดับพันล้านบาท เป็นระดับหมื่นล้านบาทให้ได้ภายในระยะเวลา 1-3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้ซีอีโอหนุ่มวัยสี่สิบ คือ ภาพรวมตลาดสาหร่ายในปี 2566 เป็นเซกเมนต์ที่เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มสแน็ก และเป็นกลุ่มที่ผลักดันให้ตลาดสแน็กเติบโตอย่างมาก ซึ่งสินค้าแบรนด์เถ้าแก่น้อยสามารถสร้างการเติบโตอยู่ในระดับ 2 หลัก กลับมามียอดขายดีกว่าก่อนช่วงวิกฤตโควิดแล้ว ทั้งในตลาดเมืองไทยและตลาดต่างประเทศ

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง โดยมองทิศทางตลาดขนมและตลาดสาหร่ายยังมีศักยภาพเติบโตได้ดี แม้มีสัญญาณทางเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทวางแผนกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง และปลุกปั้นแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” อย่างเข้มข้น

ที่สำคัญ ปี 2567 เป็นปีที่เถ้าแก่น้อยดำเนินธุรกิจครบ 20 ปี บริษัทวางกลยุทธ์สื่อสารกับผู้บริโภคและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกับผู้บริโภคตลอดทั้งปี เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดสาหร่ายและการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาอย่างต่อเนื่องตลอด 20 ปี โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ร่วมกับผู้บริโภคและครีเอเตอร์หรือ influencer ระดับชั้นนำ เพื่อสร้างกิจกรรมและประสบการณ์ใหม่ๆ

ส่วนการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ยังอยู่ในแผนการดำเนินการช่วง 1-3 ปีนี้ โดยเตรียมขยายสินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและกลุ่มอื่นๆ ทั้งกลุ่ม Seaweed และ Non-seaweed  เช่น กลุ่มเครื่องดื่มมีแผนออกสินค้าใหม่ต่อยอดแบรนด์ จัสท์ดริงค์ (just drink) ในช่วงกลางปีนี้ และออกแบรนด์เครื่องดื่มใหม่ๆ สู่ตลาด รวมถึงสินค้ากลุ่มอื่นๆ

ซีอีโอหนุ่มทิ้งท้ายอีกว่า บริษัทเตรียมลุยธุรกิจร้านหมูกระทะภายใต้แบรนด์ Mookata71 หลังประเดิมเปิดสาขาแรกย่านบรรทัดทอง ช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากแบรนด์ร้านข้าวราดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น “ฮิโนยะ” และแฟรนไชส์ร้าน Bomber Dog ซึ่งเปิดดำเนินการก่อนหน้านี้.