วันพุธ, ตุลาคม 9, 2024
Home > Cover Story > วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล 4 ปี ดัน “วอริกซ์” เข้าตลาดหุ้น

วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล 4 ปี ดัน “วอริกซ์” เข้าตลาดหุ้น

“วอริกซ์เข้ามาเป็นตัวแทนผลิต จัดจำหน่ายเสื้อทีมชาติไทยตั้งแต่ปี 2559 เซ็นสัญญา 4 ปี 400 ล้านบาท ตอนนั้นหลายๆ คนบอกว่าเจ๊งแน่ๆ แต่ดูยอดและตัวเลขตอนนี้ บริษัทได้ยอดขายจากเฉพาะตัวสินค้าของทีมชาติไทยเติบโตขึ้นถึง 200 ล้านบาท มียอดขายรวมสินค้าอื่นๆ เติบโต 300% และเตรียมดันบริษัทเข้าตลาดหุ้นในปีนี้หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปีหน้า”

วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ย้ำกับสื่อถึงความสำเร็จในวันนี้หลังจากใช้เวลาฟันฝ่าธุรกิจอยู่ในวงการอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้ามานานกว่า 10 ปี โดยใช้กลยุทธ์เจาะตลาดนิชมาร์เก็ตในกลุ่มเสื้อผ้ายูนิฟอร์มและชุดนักเรียน จนกระทั่งเห็นช่องทางและโอกาสบุกตลาดชุดกีฬาที่เน้นนวัตกรรมใหม่ฉีกแนวจากเจ้าตลาดหน้าเก่า ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์สปอร์ตแวร์

แน่นอนว่า การคว้าสิทธิ์ออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายชุดแข่งขันและเครื่องแต่งกายทัพช้างศึกไทยอย่างเป็นทางการสามารถผลักดันให้แบรนด์ “วอริกซ์” ติดตลาดทอปทรีในตลาดไทย และสร้างยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะปี 2560 มีรายได้รวมเติบโตถึง 3 เท่าตัว ปิดยอดขายที่ 564 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทยประมาณ 200 ล้านบาท หรือขายได้ 5 แสนตัว และตั้งเป้าปี 2561 จะมียอดขายรวม 620 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 1 คาดจะปิดรายได้ไม่ต่ำกว่า 180 ล้านบาท

ที่สำคัญ วอริกซ์กลายเป็นแบรนด์ชุดกีฬาไทยที่สามารถแข่งขันแบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นไนกี้หรืออาดิดาส ชนิดที่เรียกว่า เข้าร่วมประมูลสิทธิ์ชุดแข่งขันทีมชาติกับแบรนด์ต่างชาติ และมีลุ้นคว้าสิทธิ์ในทุกเวทีด้วย

ล่าสุด วอริกซ์ สปอร์ต เปิดตัวชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยประจำปี 2018 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ภารกิจแห่งเกียรติยศ” (MISSION OF HONOR) โดยชูจุดขายเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยมาตรฐานเดียวกับสโมสรชั้นนำของโลกภายใต้ชื่อ “CHANGSUEK THE GENESIS” สื่อความหมายถึงปฐมบทของฟุตบอลไทยในยุคใหม่ การต่อสู้ครั้งใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น และจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการภายใต้การบริหารงานของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยชุดใหม่ มีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนากีฬาฟุตบอลของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน การกำเนิดตราสัญลักษณ์ช้างศึกแบบใหม่ที่ดุดันและเป็นสากลมากขึ้น รวมถึงโลโกวอริกซ์ สปอร์ต โฉมใหม่ มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ชุดแข่งเหย้า–สีน้ำเงิน ชุดแข่งเยือน–สีแดง ชุดแข่งที่ 3–สีขาว ชุดผู้รักษาประตูเหย้า–สีเขียว และชุดผู้รักษาประตูเยือน–สีเทา

ที่พิเศษ คือ ชุดแข่งขันสำหรับนักเตะ (Warrix Player Jersey) จะไม่วางจำหน่ายทั่วไป เนื่องจากออกแบบและผลิตเพื่อนักเตะโดยเฉพาะ ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก COMBATEC (คอมแบทเทค) ที่วอริกซ์คิดค้นขึ้น มีคุณสมบัติพิเศษมากถึง 7 อย่างรวมอยู่ด้วยกันในชุดแข่งขัน

คือ เส้นใยที่ถูกพัฒนาเป็นพิเศษ เนื้อผ้าบางเบาเย็นสบาย แห้งเร็ว ระบายความร้อนเร็วกว่าเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ปกติถึง 3 เท่า ดูดซับความชื้น และลดอุณหภูมิของร่างกายได้ดี โดยเพิ่มความพิเศษของเส้นใยสแปนเด็กซ์ที่ยืดหยุ่นดีมาก สามารถยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ และป้องกันรังสียูวี รวมทั้งอัญเชิญตรามหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งเป็นตราพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 สำหรับตัวแทนนักฟุตบอลทีมชาติไทยทุกคนมาอยู่บนชุดแข่งขันของนักเตะด้วย

สำหรับชุดแข่งขันสำหรับแฟนบอล (Warrix Replica Jersey) บริษัทดีไซน์แบบ Reversible สวมใส่ได้ 2 ด้าน 2 ลาย โดยลวดลาย Warrior’s Pulse บนตัวเสื้อด้านใน สื่อความหมายถึงชีพจรนักรบ ความเป็นนักสู้ของผู้สวมใส่ และยังมีนัยสำคัญถึงการหลอมรวมทุกจังหวะการเต้นของชีพจรหัวใจคนไทยทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว ผลิตจากผ้า Micro ด้วยนวัตกรรม COMBACOOL เย็นสบาย ซึมซับเหงื่อได้ดี เสื้อแห้งไว ระบายอากาศ และป้องกันรังสี UV ราคาตัวละ 990 บาท

ขณะที่แฟนบอลระดับกลางจะมีเสื้อเชียร์ทีมชาติไทย (Warrix Cheer Jersey) ราคาเพียงตัวละ 390 บาท 2 สี คือ สีน้ำเงิน และสีแดง และมีลวดลาย 2 แบบ คือ แบบลวดลายชีพจรนักรบ (Warrior’s Pulse) อยู่ตรงแขนเสื้อ และ แบบลวดลายชีพจรนักรบ (Warrior’s Pulse) อยู่ที่ลำตัว

“บริษัทเน้นกลยุทธ์สำคัญ คือ การผลิตเสื้อหรือชุดกีฬาในราคาที่คนไทยจับต้องได้ เมื่อเปรียบเทียบกับชุดกีฬาลิขสิทธิ์จากต่างชาติ เช่น ในตลาดญี่ปุ่น ราคาชุดกีฬาสูงกว่า 10,000 เยน หรือเฉลี่ย 3,000 กว่าบาท ในอาเซียนด้วยกัน ตลาดมาเลเซียราคามากกว่า 100 ริงกิต หรือตัวละไม่ต่ำกว่า 800-900 บาท แต่เสื้อเชียร์ทีมชาติไทยตัวละ 390 บาทถือว่าราคาถูกมากเมื่อดูคุณภาพและนวัตกรรมต่างๆ สามารถขยายฐานตลาดระดับกลางได้จากตัวเลขแฟนบอลที่เชียร์ทีมชาติไทยมากกว่า 7 ล้านคน” วิศัลย์กล่าว

ในเวลาเดียวกัน วิศัลย์พยายามใช้ผลลัพธ์จากการสร้างแบรนด์ “วอริกซ์” ขยายไลน์สินค้าอื่นๆ เช่น ชุดสูท เสื้อแจ็กเกต เสื้อวอร์ม รองเท้าวิ่ง กางเกงซัปพอร์ต รวมถึงเพิ่มกลุ่มสินค้าครอบคลุมกีฬาประเภทต่างๆ เช่น กีฬารันนิ่ง กอล์ฟ มวยไทย ซึ่งทุกชิ้นราคาต่ำกว่าแบรนด์ต่างชาติ แต่คุณภาพแข่งขันได้ เนื่องจากมีความร่วมมือด้านการวิจัยกับผู้ผลิตสินค้ากีฬาให้แบรนด์ดังระดับโลก และอาศัยการจ้างผลิตในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดต้นทุนการผลิต

นอกจากนี้ ยังเน้นการทำตลาดชุดแข่งสโมสรไทยลีก ซึ่งวอริกซ์ร่วมเป็นสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลและสโมสรไทยลีกในไทย ประมาณ 10 ทีม เช่น สโมสรบุรีรัมย์ สุพรรณบุรีเอฟซี อุดรธานีเอฟซี ชัยนาทฮอร์นบิล พีทีประจวบ นครราชสีมามาสด้าเอฟซี หรือสวาทแคท หนองบัวพิชญเอฟซี บีซีซีเอฟซี รวมทั้งเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมสโมสรดังในมาเลเซีย ได้แก่ ทีมเคดาห์ และทีมมะละกา ลาวโตโยต้า ในลาว และกำลังหารือกับอีก 2 ทีมในเอเชีย คือ อินโดนีเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งพยายามขอเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งสโมสรฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่น เพื่อขยายฐานตลาดเอเชีย

ด้านช่องทางจำหน่ายจากปัจจุบันมีช่องทางหลัก ได้แก่ ร้านค้าปลีกของวอริกซ์ 4 สาขา ได้แก่ สาทร ซอย 10, ช้อปบีซีซี โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย, ช้อปสุพรรณบุรี และร้านช้างศึกเมกะสโตร์ เดอะมอลล์โคราช, บูธวอริกซ์ ดิ เอ็มควอเทียร์, ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ ผ่านระบบ 24 Shopping และการวางสินค้าในห้างบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซูเปอร์สปอร์ต สปอร์ตมอลล์ ARI Thai Ticket Major เอฟบีที มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ร้านแมคยีนส์ และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยเร็วๆ นี้จะเปิดตัวแฟลกชิปสโตร์ “วอริกซ์ช็อป” ในโครงการสเตเดี้ยมวันอีก 1 แห่ง พื้นที่ 1,000 ตารางเมตร

ส่วนตลาดออนไลน์ ซึ่งมีฐานลูกค้าผ่านลาซาด้าและ Shopee มากกว่า 3 แสนคนนั้น บริษัทลงทุนเปิดเว็บไซต์วอริกซ์อย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2560 เพื่อผลักดันยอดขายจากออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4-5 เท่า จาก 20 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท

ต้องถือว่าช่วงเวลาเพียง 4 ปี วอริกซ์เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิศัลย์ย้ำเป้าหมายเดิมที่วางไว้ตั้งแต่เปิดตัว “วอริกซ์ สปอร์ต” ในวันแรก คือ ดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนประมูลลิขสิทธิ์ชุดกีฬาทีมชาติประเทศต่างๆ และทีมสโมสรชั้นนำหลังจากสร้างแบรนด์ติดตลาด เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้แตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2020

เพราะนั่นจะพลิกคำสบประมาททั้งหมดได้อย่างชัดเจนที่สุด

ใส่ความเห็น