วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
Home > On Globalization > Chloroquine ไม่จบเสียที

Chloroquine ไม่จบเสียที

Column: From Paris

Didier Raoult ให้สัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ LCI เกี่ยวกับการห้ามใช้ยา Chloroquine และ Hydroxychloroquine ในการรักษาผู้ติดเชื้อ Covid-19 และท้าให้ไปสำรวจความคิดเห็นเลยว่าชาวฝรั่งเศสนิยมตัวเขาหรือ Olivier Véran รัฐมนตรีสาธารณสุข ผลก็คือความนิยมในตัวเขาสูงกว่ารัฐมนตรี

Didier Raoult แพทย์ประจำวิทยาลัยแพทย์และโรงพยาบาลเมืองมาร์เซย (Marseille) เป็นผู้จุดประกายการใช้ยา Chloroquine รักษาผู้ติดเชื้อ Coronavirus ด้วยการใช้ยา Hydoxychloroquine ควบคู่ไปกับ Azithromycine ได้เป็นผลดี แต่ได้รับการต่อต้านจากแพทย์ที่มีตำแหน่งในองค์กรแพทย์และสาธารณสุขใหญ่ๆ ของฝรั่งเศส เป็นเหตุให้เขาถอนตัวจากคณะที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์ซึ่งประธานาธิบดี Emmanuel Macron แต่งตั้งเมื่อ Covid-19 เริ่มระบาดใหญ่ในฝรั่งเศส แพทย์ที่ไม่เห็นด้วยย้ำว่า Chloroquine มีผลข้างเคียงที่รุนแรง อาจก่อให้เกิดปัญหาหัวใจได้ การถกเถียงเป็นไปอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม The Lancet วารสารการแพทย์ได้พิมพ์ผลการศึกษาย้อนหลังซึ่งชี้ให้เห็นว่าคนไข้ที่ป่วยด้วย Covid-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และได้รับการรักษาด้วยยา Chloroquine และ Hydroxychloroquine ไม่ว่าจะร่วมกับยาแก้อักเสบหรือไม่ มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก ดังนั้นรัฐมนตรีสาธารณสุข Olivier Véran จึงขอความเห็นไปยัง Haut conseil de santé publique คณะที่ปรึกษาชั้นสูงด้านสาธารณสุข ซึ่งเห็นชอบให้ยกเลิกการใช้ Chloroquine และ Hydroxychloroquine ในการรักษาผู้ป่วย Covid-19 รัฐจึงประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ทั้งนี้ Agence nationale de sécurité du médicament et des produits de santé องค์การเพื่อความปลอดภัยของยาและผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุขแห่งชาติ ก็มีความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน กฎหมายฉบับนี้ห้ามใช้ยาดังกล่าวกับคนไข้ทั้งปวงที่ป่วยด้วย Covid-19 ไม่ว่าอาการจะหนักหรือเบา ก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสให้ใช้ยานี้ในการรักษาคนไข้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยอยู่ในความรับผิดชอบของแพทย์ และหากต้องมีการรักษาต่อเนื่องเมื่อคนไข้กลับบ้านแล้ว แพทย์ผู้รักษาสามารถสั่งยาต่อให้ได้

นอกจากนั้น Agence nationale de sécurité du médicament et des produits de santé ยังเห็นว่าไม่เอาคนไข้ที่รับยา Chloroquine และ Hydroxychloroquine อยู่ในขอบข่ายการวิจัยทางคลินิกที่กำลังทำกันอยู่ในฝรั่งเศส แต่คนไข้ยังสามารถกินยาดังกล่าวต่อไป ในทำนองเดียวกัน องค์การอนามัยโลกก็ให้ยกเลิกชั่วคราวไม่ให้ผู้กินยา Hydroxychloroquine อยู่ในข่ายการศึกษาทางคลินิกที่กำลังดำเนินกันอยู่

ในการให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ LCI นั้น Didier Raoult บอกว่าการห้ามใช้ยาดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อเขามากนัก เพราะตอนนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลของเขา แต่คงจะมีปัญหาถ้าเป็นเมื่อเดือนก่อน นอกจากนั้น เขายังเห็นว่าองค์การอนามัยโลกทำอะไรโง่ๆ หลายอย่าง เช่น การสนับสนุนให้ใช้ยา Remdesivir ของบริษัทยาอเมริกัน Gilead ในการรักษาผู้ติดเชื้อ Covid-19 ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้

Didier Raoult เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ Le Figaro ฉบับวันที่ 30-31 พฤษภาคม เขากล่าวว่าข้อมูลข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์และการรักษาโรคกลายเป็นเรื่องการเงิน การให้ใช้ยา Remdesivir ในการรักษา Covid-19 ทำให้บริษัทยา Gilead มีกำไรมหาศาล เขายังบ่งว่าเรื่องยามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาไม่เคยติดต่อกับ Donald Trump หรือ Bolsonaro (ผู้นำบราซิล) แต่ตั้งแต่ Donald Trump แนะนำให้ใช้ Hydroxychloroquine สงคราม Anti-Trump นำมาซึ่งสงคราม Anti-chloroquine

The Lancet ได้พิมพ์การศึกษาที่นักวิทยาศาสตร์น้อยมากจะเชื่อ เพราะอ้างอิงข้อมูลที่ได้จากออสเตรเลีย ในขณะที่ออสเตรเลียได้ปฏิเสธการมีส่วนร่วมในการศึกษานี้ ซึ่งไม่มีที่มาที่ไป ผู้เขียนบทความนี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อ หรือโรคติดเชื้อ หรือไวรัสวิทยา

บทความสองเรื่องที่พิมพ์ใน British Medical Journal จงใจปิดบังข้อมูล `บทความหนึ่งบ่งว่า Hydroxychloroquine ไปกระตุ้นการพัฒนาของโรค นอกจากนั้น ยังพิมพ์ผลการศึกษาของฝรั่งเศสว่าการใช้ยา Hydroxychloroquine ร่วมกับ Azithromycine ยังไม่ได้รับการวิจัย ทั้งๆ ที่การใช้ยาสองชนิดนี้ร่วมกันได้ผลสูงกว่าการรักษาด้วยยาอื่นๆ

นอกจากนั้น New England Journal of Medicine ซึ่งเป็นวารสารการแพทย์ที่น่าเชื่อถือที่สุด ยังได้พิมพ์บทความถึงสามเรื่องเกี่ยวกับยา Remdesivir ซึ่งดูเหมือนการโฆษณาให้ยาตัวนี้มากกว่าการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ โดยปิดบังอันตรายที่ยาตัวนี้อาจก่อให้เกิด เช่น ไตบกพร่อง หรือผลข้างเคียงอื่นๆ

ในสงครามนี้ Didier Raoult ไม่ได้โดดเดี่ยว เพราะแพทย์ประมาณ 220 คนทำจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการของวารสาร The Lancet ชี้ให้เห็นความบกพร่องของวิธีการและข้อมูลการวิจัยที่ขาดความเชื่อถือ ทำให้ The Lancet ขอให้ผู้เขียนบทความให้ความกระจ่าง จดหมายเปิดผนึกนี้บ่งว่าข้อมูลที่บทความอ้างอิงไม่ตรงกับคำแถลงของรัฐบาลออสเตรเลีย บริษัทอเมริกัน Surgisphere ที่รวบรวมข้อมูลได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นความผิดพลาดในการจัดเก็บข้อมูล และอื่นๆ สรุปแล้วบทความของ The Lancet ไม่ได้บ่งถึงประสิทธิภาพของยา Hydroxychloroquine แต่อย่างใด

ใส่ความเห็น