Home > Vanida Toonpirom (Page 10)

เทรนด์การลงทุนปี 2566 กับโอกาสรับไชน่ารีโอเพ่น

แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจและการลงทุนของปี 2565 อาจดูไม่สดใสนัก เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนมาตลอดทั้งปี ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลก สภาวะเงินเฟ้อ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความผันผวนของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ล้วนสร้างผลกระทบต่อบรรยากาศในการลงทุน ซึ่งความผันผวนดังกล่าวจะต่อเนื่องไปถึงปี 2566 แต่นักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าภายใต้ความผันผวนที่จะลากยาวไปถึงปีหน้า ยังคงมีโอกาสทางการลงทุนที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ในช่วงเวลานี้ของปี บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนต่างออกมาคาดการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มการลงทุนของปีที่กำลังจะมาถึง “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” หรือ อาจารย์ปิง นักลงทุนมืออาชีพและวิทยากรด้านการลงทุนของไทย เปิดเผยถึงความท้าทายและโอกาสของการลงทุนในปี 2566 ว่า “ความท้าทายของเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2566 คือสภาพคล่องทางเศรษฐกิจจะหายไปมากกว่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่โอกาสในการลงทุนยังมีอยู่แต่ก็จะยากกว่าสองปีที่ผ่านอย่างแน่นอน” โดยประกิตกล่าวเพิ่มเติมว่า สภาพคล่องทางเศรษฐกิจในปี 2566 ที่จะลดลงนั้น สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ 1. ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งนั่นส่งผลต่อกิจกรรมทางการเงินต่างๆ อย่างการกู้ยืม การขอสินเชื่อจะยากมากขึ้น 2. บรรดาธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะดูดเงินกลับพร้อมกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากที่เคยปล่อยออกมาเพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีของการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เพิ่งดึงเงินกลับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพียงเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียวดึงเงินกลับไปถึง 1.1 แสนล้านดอลลาร์ และน่าจะเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าปีหน้าทั้งปีธนาคารกลางสหรัฐฯ จะดึงเงินกลับไปราวๆ

Read More

“แดรี่โฮม” กับ Green Factory เราเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ที่โรงงานผลิตนม

“เราเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ที่โรงงานผลิตนม” คือคำกล่าวของ “พฤฒิ เกิดชูชื่น” ผู้ก่อตั้งบริษัท แดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ที่ชวนให้ผู้อ่านหลายคนตั้งข้อสงสัย “แดรี่โฮม” ถือเป็นผู้ผลิตนมออแกนิกรายแรกของเมืองไทย ที่ไม่เพียงผลิตนมคุณภาพดีปลอดสารตกค้าง แต่ยังให้ความสำคัญต่อกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นต้นแบบโรงงานสีเขียว หรือ Green Factory ไม่มีการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม และมีการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ แต่การบำบัดน้ำเสียที่เคยทำๆ กันอยู่อาจจะดูธรรมดาเกินไป เพราะแดรี่โฮมพัฒนาไปมากกว่านั้น โดยนำน้ำเสียมาเข้ากระบวนการบำบัดจนกระทั่งสามารถนำกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งก้ามกรามได้ พฤฒิเปิดเผยว่า “เนื่องจากเราทำเรื่องออแกนิกและ Zero Waste มาตั้งแต่ต้น แต่เรามองว่าของเสียมันยังมีคุณค่าและน่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อยู่ อย่างน้ำล้างเครื่องจักรของเรามันคือน้ำผสมนม ถ้าทิ้งลงไปต้องบำบัดก่อน สิ้นเปลืองพลังงานในการบำบัด แต่ถ้าเราแยกเอาสารอาหารที่อยู่ในนั้นออกมาใช้ประโยชน์ก่อนมันจะเป็นการเพิ่มมูลค่าขึ้นได้อีกมาก” โดยแดรี่โฮมจะนำน้ำเสียจากการล้างเครื่องจักรมาเข้ากระบวนการสกัดสารอาหารออกมาก่อน ซึ่งสารอาหารที่ได้จะนำไปเลี้ยงสาหร่ายคลอเรลลา (Chlorella) หลังจากนั้นจึงนำสาหร่ายคลอเรลลาที่เลี้ยงได้ไปเลี้ยงไรทะเลอาร์ทีเมีย (Artemia) อีกต่อหนึ่ง ก่อนที่จะนำไรทะเลอาร์ทีเมียไปเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในที่สุด ซึ่งเป็นวิธีการที่แดรี่โฮมต่อยอดมาจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ “เราเลี้ยงกุ้งก้ามกรามได้ 2 ล็อตแล้วครับ ตอนนี้ขนาดอยู่ที่ 5 ตัว/โล เป้าหมายของเราคือ 3 ตัว/โล คาดว่าปีหน้าจะสามารถบรรจุเมนูกุ้งในร้านแดรี่โฮมได้” นอกจากนั้น แดรี่โฮมยังพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy

Read More

เปิดแนวคิด “พฤฒิ เกิดชูชื่น” ผู้บุกเบิกนมออแกนิกรายแรกในไทย

ในแวดวงการทำฟาร์มโคนมแบบออแกนิก ชื่อของ “พฤฒิ เกิดชูชื่น” น่าจะเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงเป็นคนแรกๆ ทั้งในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้บุกเบิกการทำฟาร์มโคนมแบบออแกนิกในเมืองไทย แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท แดรี่โฮม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้ผลิตนมออแกนิกรายใหญ่ภายใต้แบรนด์ “แดรี่โฮม” ที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมานานกว่า 2 ทศวรรษอีกด้วย “พฤฒิ เกิดชูชื่น” ถือเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในแวดวงฟาร์มโคนมมาอย่างยาวนาน โดยหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสัตวบาล จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณพฤฒิเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยเป็นแห่งแรก ในตำแหน่งนักวิชาการสอนปรับปรุงพันธุ์โคนม ทำงานด้านวิจัยการผสมเทียมและริเริ่มศูนย์ผลิตน้ำเชื้อพ่อพันธุ์โคนมแช่แข็ง หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการทำฟาร์มโคนมมากว่า 10 ปี ปี 2535 เขาตัดสินใจผันตัวเองออกมาทำธุรกิจส่วนตัว โดยเริ่มจากการร่วมหุ้นกับเพื่อนทำธุรกิจปลูกหญ้าเลี้ยงวัว ก่อนที่จะหันไปจำหน่ายอาหารวัวสำเร็จรูป และธุรกิจขายกากเบียร์เป็นลำดับ แต่เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจมาก่อน เส้นทางธุรกิจของเขาจึงไม่ราบรื่นนัก จนกระทั่งปี 2542 คุณพฤฒิได้ทดลองสร้างธุรกิจเล็กๆ ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากการจุดประกายของลูกสาวตัวน้อยที่อยากมีร้านขายของในช่วงวันหยุด “จุดเริ่มต้นหนึ่งคือลูกสาวของผมเขาอยากมีร้านขายของเล็กๆ ด้วยความที่ผมอยู่ในแวดวงโคนมเลยคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาเปิดร้านขายนมกันดีกว่า แต่ที่สำคัญคือต้องเป็นนมที่ปลอดสารและมีคุณภาพดีเท่านั้น” นี่คือสารตั้งต้นเล็กๆ ของ “แดรี่โฮม” แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความต้องการที่จะยกระดับการทำฟาร์มโคนมในประเทศไทยแบบเดิมไปสู่การทำฟาร์มที่มีผลผลิตนมที่มีคุณภาพ ปลอดสารพิษตกค้าง ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตกรผู้เลี้ยงโคนม จากประสบการณ์ในแวดวงฟาร์มโคนมมาตลอด 10 ปี

Read More

“เซ่งชง” ร้านเครื่องหนัง 6 แผ่นดิน ในมือทายาทรุ่น 4 “อาจฤทธิ์ ประดิษฐบาทุกา”

ผลิตภัณฑ์เครื่องหนังไม่ว่าจะเป็นรองเท้า กระเป๋า หรือเข็มขัด ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มีอยู่อย่างมากมายในท้องตลาด และมีหลากหลายแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้เลือกสรร ตั้งแต่แบรนด์เล็กๆ แบบงานคราฟต์ไทยๆ ไปจนถึงแบรนด์ต่างชาติสุดหรู ท่ามกลางตัวเลือกที่มีอยู่อย่างมากมาย เครื่องหนังจากร้าน “เซ่งชง” ร้านเครื่องหนังร่วมสมัยที่มีอายุกว่า 126 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น และยังเป็นธุรกิจครอบครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน จากร้านตัดรองเท้าหนังยุคแรกๆ ที่คนไทยเพิ่งเริ่มสวมรองเท้า สืบทอดกิจการจนมาถึงปัจจุบัน “อาจฤทธิ์ ประดิษฐบาทุกา” หรือ คุณกานต์ ทายาทรุ่นที่ 4 ที่เข้ามารับไม้ต่อธุรกิจของครอบครัว ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของ “ร้านเซ่งชง” ร้านตัดรองเท้าหนังร้านแรกของเมืองไทยให้ “ผู้จัดการ 360 องศา” ฟังว่า “ถ้าพูดถึงประวัติของร้านเซ่งชงคงต้องย้อนกลับไปราวๆ ปี พ.ศ. 2435 ตอนนั้นคุณทวดของผม ‘เซ่งชง แซ่หลิว’ ท่านเป็นชาวจีน ได้เดินทางจากมณฑลกวางตุ้งมายังเมืองไทยเพื่อมาหาชีวิตที่ดีกว่า พร้อมกับนำทักษะด้านการทำเครื่องหนังติดตัวมาด้วย เพราะท่านเป็นคนจีนแคะซึ่งมีความชำนาญด้านงานฝีมือ อย่างการทำรองเท้า การทำหนัง และเสื้อผ้า คุณทวดเลยมาเปิดร้านรองเท้าและเครื่องหนังขึ้นที่พระนคร โดยใช้ชื่อร้านตามชื่อของท่านคือร้านเซ่งชง” “ร้านเซ่งชง” เปิดกิจการครั้งแรกในปี 2439 เป็นตึกแถวเล็กๆ บริเวณสามยอด

Read More

เส้นทางธุรกิจของ “มิตรดนัย สถาวรมณี” ปั้นแบรนด์ Plantae จากธุรกิจปุ๋ยสู่ผู้นำโปรตีนทางเลือก

จากยอดขายหลักพันบาทในเดือนแรก ใช้เวลาเพียงไม่นาน ยอดขายเฉลี่ยของ Plantae กลับพุ่งทะยานถึง 30 ล้านบาทต่อเดือน ขึ้นแท่นเครื่องดื่มโปรตีนจากพืชอันดับหนึ่งในท้องตลาด เติบโตกว่า 284 เท่า จนกลายเป็นสตาร์ทอัปที่น่าจับตามอง นี่คือเหตุผลที่ทำให้ “ผู้จัดการ 360 องศา” มาพูดคุยกับ “มิตรดนัย สถาวรมณี” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Plantae เครื่องดื่มโปรตีนทางเลือกที่มาแรงแห่งยุค เส้นทางสายธุรกิจของผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “มิตรดนัย สถาวรมณี” หรือ คุณพอร์ต เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมโยธา University of Wisconsin at Madison ประเทศสหรัฐอเมริกา และกลับมาเมืองไทยเพื่อเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวอย่างธุรกิจปุ๋ยในชื่อ “SV Group” “หลังจากเรียนจบผมถูกส่งไปอยู่โรงงานปุ๋ยที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นก้าวแรกที่ทำให้รู้จักกับคำว่า ‘เกษตร’ โดยเข้ามาดูเรื่องการตลาดและการขายเป็นหลัก ช่วง 5 ปีแรกมีโอกาสเดินทางไปเจอกับเกษตรกรเยอะมาก ในหนึ่งเดือนผมอยู่ต่างจังหวัดไปแล้ว 25 วัน ค่ำไหนนอนนั่น แต่ทำไปทำมามันไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร ด้วยรูปแบบธุรกิจค้าปุ๋ยในไทยมันมีปัจจัยหลายอย่าง” มิตรดนัยเล่าต่อไปว่ารูปแบบธุรกิจปุ๋ยในเมืองไทยถ้าจะให้ขายดีจะต้องขายผ่าน

Read More

“ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป” พร้อมทรานส์ฟอร์มสู่เทค คอมพานี

ที่ผ่านมายักษ์ใหญ่ด้านนิคมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของไทย อย่างบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป มีความเคลื่อนไหวทางธุรกิจออกมาให้ได้เห็นเป็นระยะๆ แต่หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ความเป็น “Tech Company” ภายในปี 2567 ภายใต้การนำทัพของผู้บริหารหญิงแกร่งอย่าง “จรีพร จารุกรสกุล” ปัจจุบัน “Tech Company” (เทค คอมพานี) บริษัทกลุ่มเทคโนโลยีหรือบริษัทที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในแวดวงธุรกิจ และกำลังกลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคนี้ นั่นทำให้หลายองค์กรต่างต้องปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้และขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น เพื่อการอยู่รอด สร้างการเติบโต และเพื่อไม่ตกขบวน รวมถึง ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่ออกมาประกาศพร้อมทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่การเป็นเทค คอมพานี ให้ได้ภายในปี 2567 ด้วยเช่นกัน สำหรับ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA Group) ถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านนิคมอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของไทย โดยประกอบธุรกิจใน 4 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมในเครือปักหมุดในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในเขต EEC

Read More

“แดรี่โฮม” ธุรกิจเพื่อสังคม เปลี่ยนวิถีการทำโคนมสู่ความเป็นออแกนิก

ในอดีตการทำฟาร์มโคนมของไทยมักประสบปัญหาทั้งคุณภาพและกระบวนการผลิต มีการปนเปื้อนของสารจำพวกยาปฏิชีวนะในน้ำนม ปัญหาความยั่งยืนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ต้องแบกรับต้นทุนในการทำฟาร์มที่สูง โดยส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องยาและอาหารวัว อีกทั้งการทำฟาร์มแบบอุตสาหกรรมที่เน้นปริมาณเป็นวิถีการผลิตที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพ และที่สำคัญไม่สามารถทำให้เกษตรกรผู้ผลิตมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแบบยั่งยืนได้ นั่นคือสิ่งที่ “พฤฒิ เกิดชูชื่น” ผู้ที่คลุกคลีกับฟาร์มโคนมมากว่า 10 ปี มองเห็นและพยายามหาทางแก้ไข เพื่อพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทย และเพื่อหาทางรอดให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในระยะยาว จนนำมาสู่การก่อตั้ง “แดรี่โฮม” ขึ้นในปี 2542 ณ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อผลักดันให้เกิดการผลิตน้ำนมอินทรีย์ หรือ นมออแกนิก ที่มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร ได้ผลผลิตที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และนับเป็นผู้บุกเบิกการผลิตนมออแกนิกรายแรกของเมืองไทย โดยแดรี่โฮมได้พัฒนาวิถีการเลี้ยงโคนมอินทรีย์ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมในเมืองไทย เลิกใช้เคมีเกษตรโดยสิ้นเชิง หญ้าซึ่งเป็นอาหารหลักของวัวและอาหารอื่นๆ จะต้องปลอดสารเคมี ต้องมีพื้นที่ให้วัวเดินได้อย่างอิสระ เป็นการเลี้ยงวัวที่ยึดความสุขของวัวเป็นหลัก ทำให้วัวมีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุข ซึ่งจะส่งผลต่อน้ำนมที่ได้ ซึ่งแดรี่โฮมการันตีว่าเป็นน้ำนมออแกนิกเต็มไปด้วยสารอาหารทั้งวิตามิน โปรตีน ไขมัน และไม่มีสารก่อภูมิแพ้ ทางรอดของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม การทำฟาร์มโคนมแบบเดิมแม้จะสร้างรายได้จำนวนมากให้กับเกษตรกร แต่ในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็สูงตามไปด้วยเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะใช้ไปกับค่าอาหารวัวและค่ายา นั่นทำให้เกษตรกรโคนมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ อีกทั้งแดรี่โฮมยังมองว่า ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area: FTA) ที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2568

Read More

Ecolean ธุรกิจรักษ์โลกจากสวีเดน กับการรุกตลาดบรรจุภัณฑ์ในไทย

ปัจจุบันเรื่องของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกหรือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้าง อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนมากขึ้น ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคล่าสุดจาก Euromonitor พบว่า ผู้บริโภคในประเทศไทยให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในท้องตลาดคือหนึ่งในปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ โดยพบว่าร้อยละ 45 ของกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคในไทย ตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน และร้อยละ 69 เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ลดการใช้พลาสติกลง นั่นทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและพยายามคิดค้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย สามารถย่อยสลายหรือนำไปรีไซเคิลได้ เพื่อให้ทันกับค่านิยมของผู้บริโภค และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ และอีกนัยหนึ่งนั่นหมายถึงโอกาสการเติบโตของบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกในตลาดที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ล่าสุด “Ecolean” ผู้นำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รายใหญ่จากสวีเดน มองเห็นโอกาสการเติบโตในไทย ประกาศจับมือกับพันธมิตรอย่าง “Dairy Home” ผู้ผลิตนมออร์แกนิกของไทย เพื่อรุกตลาดบรรจุภัณฑ์และขับเคลื่อนธุรกิจรักษ์โลกด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์น้ำหนักเบาสำหรับอาหารเหลว ที่ช่วยลดปริมาณการสร้างขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน สำหรับ “Ecolean” หรือ Ecolean SE Asia SDN BHD (อีโคลีน เอสอี เอเชีย เอสดีเอ็น บีเอชดี) นั้นมีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1996 ณ เมืองเฮลซิงบอร์ก ประเทศสวีเดน ดำเนินธุรกิจด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารเหลว

Read More

เปิดสำนักงานใหญ่กรุงเทพกรีฑา บ้านหลังใหม่ของครอบครัวจระเข้

หากพูดถึงแบรนด์วัสดุก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชื่อของ “แบรนด์จระเข้” น่าจะอยู่ในลำดับต้นๆ ที่คนนึกถึง ทั้งด้วยชื่อของแบรนด์และจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่แปลกและไม่เหมือนใคร “จระเข้” เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ด้านซีเมนต์เพื่องานก่อสร้างและดูแลบ้าน ภายใต้การพัฒนาของบริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่เติบโตมาจากบริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2535 โดยกลุ่มคนไทย 100% ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา “จระเข้” ยึดหลัก “Innovation for Your Family’s Happiness” หรือ “สร้างสรรค์ความสุข เพื่อทุกคนในครอบครัว” ในการผลิตสินค้าและขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ปัจจุบันจระเข้ขึ้นแท่นผู้นำด้านระบบกันซึม ปูนยาแนว และเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง กลายเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและโดดเด่นในเรื่องนวัตกรรม จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน “จระเข้ คอร์ปอเรชั่น” มีการขยับขยายสำนักงานถึง 4 ครั้ง เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และล่าสุดกับสำนักงานใหญ่ในย่านกรุงเทพกรีฑา บ้านหลังใหม่ของครอบครัวจระเข้ อาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ประกอบด้วยอาคาร 4 หลัง เรียงตัวเป็นรูปร่างจระเข้ตวัดหาง เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของบริษัทและแบรนด์ผลิตภัณฑ์

Read More

3 ทศวรรษ “จระเข้ คอร์ปอเรชั่น” แบรนด์วัสดุก่อสร้างของคนไทย

จากกลุ่มคนไทยในแวดวงธุรกิจกระเบื้องเซรามิกเพียงไม่กี่คนที่ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด เมื่อปี 2535 ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 1.7 ล้านบาท เพื่อบุกเบิกการผลิตกาวซีเมนต์และกาวยาแนว ผ่านมา 3 ทศวรรษ บริษัทเล็กๆ ในวันนั้นได้พัฒนาต่อยอดจนกลายมาเป็นผู้นำธุรกิจวัสดุก่อสร้างกลุ่มสินค้ากาวซีเมนต์ยาแนวและเคมีก่อสร้างในชื่อบริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด แบรนด์วัสดุก่อสร้างของคนไทยที่บุกไปสร้างชื่อเสียงในตลาดต่างประเทศและมียอดขายหลักพันล้านบาทต่อปี จุดเริ่มต้นของบริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ต้องย้อนกลับไปราวๆ 30 ปีก่อน เมื่อ กองกูณฑ์ อรรถสารประสิทธิ์, ศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์, ชัยกร มีสมมนต์, พงศธร แสงรุจี และสถาพร กิจประยูร กลุ่มคนไทยที่อยู่ในแวดวงธุรกิจกระเบื้องเซรามิกที่เห็นความสำคัญของการปูกระเบื้องและมองว่าการปูกระเบื้องของเมืองไทยในสมัยนั้นมีคุณภาพและมาตรฐานที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับได้มีโอกาสรู้จักกับเทคโนโลยีในการติดตั้งกระเบื้องจากต่างประเทศ จึงมีความต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานของไทยให้ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็มองเห็นโอกาสทางธุรกิจด้วยเช่นกัน นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจร่วมทุนกันก่อตั้ง บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด (Cera C-Cure Co., Ltd.) ขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม

Read More