วันศุกร์, กันยายน 27, 2024
Home > Cover Story > 123 ปี โรยัล เอ็นฟีลด์ ตำนานแบรนด์มอเตอร์ไซค์สุดเก๋า

123 ปี โรยัล เอ็นฟีลด์ ตำนานแบรนด์มอเตอร์ไซค์สุดเก๋า

“โรยัล เอ็นฟีลด์” (Royal Enfield) ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่มีสายการผลิตต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก โดยเริ่มต้นขึ้น ณ เมืองเรดดิทช์ เมืองเล็กๆ ในสหราชอาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1901 ก่อนที่จะขึ้นแท่นเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc-750cc) ด้วยสายการผลิตที่ดำเนินต่อเนื่องมานานถึง 123 ปีเต็ม

รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของ โรยัล เอ็นฟีลด์ ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1901 ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Bob Walker Smith และ Jules Gobiet ขับเคลื่อนด้วยสายพาน เครื่องยนต์ 1.5 แรงม้า โดยมีการเปิดตัวในงาน Stanley Cycle ณ กรุงลอนดอน

ถัดมาในปี 1914 รถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะรุ่นแรกของ โรยัล เอ็นฟีลด์ เข้าสู่สายการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ กระทั่งอังกฤษเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ โรยัล เอ็นฟีลด์ ตัดสินใจหยุดการผลิตมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่นๆ และหันมาผลิตมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้แทน เพราะถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น ด้วยขนาด 770cc เครื่องยนต์สองสูบรูปตัว V และมีกำลังถึง 6 แรงม้า

หลังจากนั้น โรยัล เอ็นฟีลด์ ได้เดินหน้าพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1924 มีการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์มากถึง 8 รุ่น รวมถึงรุ่น Sports Model 351 รถมอเตอร์ไซค์ขนาด 350cc 4 จังหวะ ที่เปลี่ยนเกียร์ด้วยเท้า และขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ JAP

ในขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ในตำนานที่รู้จักกันดีอย่างรุ่น Bullet ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1932 โดยจัดแสดงครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ที่งาน Earls Court Motorcycle Show ณ กรุงลอนดอน โดยมีให้เลือกถึง 3 ขนาด ได้แก่ 250cc, 350cc และ 500cc

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 1939-1945) โรยัล เอ็นฟีลด์ ยังคงมีการผลิตมอเตอร์ไซค์และจักรยานจำนวนมาก ซึ่งรุ่นที่เป็นที่จดจำมากที่สุดคือ รถมอเตอร์ไซค์สำหรับการทหารรุ่น “Airborne” ขนาด 125cc 2 สูบ หรือที่รู้จักกันใน ชื่อ Flying Flea โดยเป็นรถที่ถูกขนส่งโดยเครื่องบินและปล่อยลงสู่ภาคพื้นดินด้วยร่มชูชีพที่ติดกับโครงเหล็ก เพื่อส่งรถไปหลังแนวรบข้าศึก

กระแสความนิยมในรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 1949 ทางฝั่งอินเดียได้มีการเปิดบริษัท Madras Motors ขึ้น เพื่อนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอังกฤษเข้าสู่ประเทศอินเดีย ซึ่งนั่นรวมถึงแบรนด์โรยัล เอ็นฟีลด์ ซึ่งมียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก

กระทั่งในปีบริษัท 1955 บริษัท Redditch จึงตัดสินใจจับมือกับบริษัท Madras Motors ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Enfield India Limited ขึ้นในอินเดีย โดยเริ่มดำเนินธุรกิจด้วยการก่อสร้างโรงงานที่เมือง Tiruvottiyur ซึ่งนับเป็นฐานการผลิตสำคัญที่ โรยัล เอ็นฟีลด์ ใช้สร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมรถสองล้อขนาดกลางในประเทศอินเดีย ก่อนที่ในปี 1994 ทุนอินเดียกลุ่มใหม่อย่าง “Eicher Group” จะได้เข้าซื้อกิจการของ Enfield India Limited และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Royal Enfield Motors Limited ในที่สุด

โรยัล เอ็นฟีลด์ ภายใต้ปีกของทุนอินเดียยังคงสร้างยอดขายและพัฒนารถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกดั้งเดิมตามแบบฉบับของโรยัล เอ็นฟีลด์ อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมในการขับขี่เพื่อสร้างคอมมูนิตี้ของคนขับมอเตอร์ไซค์ และเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เช่น งานขับขี่ประจำปี “One Ride” ที่จัดเป็นครั้งแรกในปี 2011 เป็นงานที่เหล่าผู้ขับขี่ โรยัล เอ็นฟีลด์ ทั่วโลกจะได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกันในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน รวมถึงงานใหญ่อย่าง Motoverse หรือที่รู้จักในนาม Rider Mania ซึ่งจัดขึ้นที่รัฐโกอา ประเทศอินเดีย โดยปีที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมกว่า 20,000 คน

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทริปการขับขี่บนเส้นทางสุดโหดต่างๆ ทั้ง Khardung La Pass ถนนที่สูงที่สุดในโลก และเส้นทาง “คาราโคแรม” บนเทือกเขาหิมาลัย เพื่อสร้างตำนานการขับขี่บนเส้นทางการขับขี่ที่ยากที่สุดในโลก และ Himalayan Odyssey ซึ่งเป็นการเดินทางประจำปีบนภูมิประเทศที่ท้าทาย ผ่านภูเขาที่สูงที่สุด เพื่อเป็นการตอกย้ำสมรรถนะของมอเตอร์ไซค์โรยัล เอ็นฟีลด์ ไปในตัว

ไม่เพียงเท่านั้นในปี 2014 โรยัล เอ็นฟีลด์ ยังได้เปิดร้านขายอุปกรณ์การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์และเครื่องแต่งกายขึ้นเป็นร้านแรก ที่ตลาดข่าน (Khan Market) ในกรุงนิวเดลี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของโรยัล เอ็นฟีลด์ ที่ต้องการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาวไบเกอร์อีกด้วย

ปัจจุบัน โรยัล เอ็นฟีลด์ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ Eicher Motors Limited ซึ่งดำเนินธุรกิจผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 2,050 แห่ง ทั่วเมืองใหญ่ในอินเดีย รวมถึงมีการส่งออกไปสู่ 1,150 สาขาในกว่า 65 ประเทศทั่วโลก มีศูนย์ดูแลเชิงเทคนิค 2 แห่งในเมือง Bruntingthorpe สหราชอาณาจักร และในเมือง Chennai ประเทศอินเดีย มีโรงงานผลิต 2 แห่งในอินเดีย โดยตั้งอยู่ที่ Oragadam และ Vallam Vadagal นอกจากนี้ ยังมีโรงงานประกอบ (CKD) อีก 5 แห่ง ได้แก่ เนปาล บราซิล ประเทศไทย อาร์เจนตินา และโคลัมเบีย

ด้วยเอกลักษณ์ของรถมอเตอร์ไซค์โรยัล เอ็นฟีลด์ ที่มีทั้งความคลาสสิกและความเก๋าอยู่ในตัว ประกอบกับสมรรถนะของรถ และแผนการตลาดที่เน้นการสร้างกิจกรรมและคอมมูนิตี้ในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบ ทำให้โรยัล เอ็นฟีลด์ ได้รับความนิยมและมีแฟนคลับอยู่ทั่วโลก ที่สำคัญยังขึ้นแท่นผู้นำระดับโลกในกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc-750cc) อีกด้วย โดยเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางในนิวซีแลนด์ เบอร์ 1 ในตลาดรถนำเข้าขนาดกลางในญี่ปุ่น เป็นเบอร์ 2 ในตลาดประเทศเกาหลี และเป็นเบอร์ 3 ในออสเตรเลีย

“อนุจ ดัว” หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ โรยัล เอ็นฟีลด์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของโรยัล เอ็นฟีลด์ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า สิ่งที่ทำให้โรยัล เอ็นฟีลด์ ขึ้นแท่นผู้นำของกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc-750cc) ในหลายประเทศทั่วโลกนั้น มาจากเทรนด์ใหม่ของตลาดมอเตอร์ไซค์ ที่คนขี่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นเล็ก 125cc-150cc มีความสนใจที่จะขยับขึ้นเป็นขนาดกลาง เพราะราคาเอื้อมถึง ส่วนคนที่มีรถบิ๊กไบค์ 1,000cc ขึ้นไป จะต้องเผชิญกับค่าบำรุงรักษาที่แพงขึ้น เลยลงมาขนาดกลางประมาณ 500cc-650cc มากขึ้น เนื่องจากอะไหล่มีราคาถูกกว่าและค่าบริการถูกลง ซึ่งเป็น 2 กลุ่มที่จะเป็นฐานลูกค้าใหม่ของโรยัล เอ็นฟีลด์ ในอนาคต

สำหรับในประเทศไทย โรยัล เอ็นฟีลด์ เข้ามาทำการตลาดตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการนำมอเตอร์ไซค์รุ่นคลาสสิกและ Bullet เข้ามาเปิดตลาดก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทย ทำให้ในปี 2019 โรยัล เอ็นฟีลด์ ตัดสินใจตั้งบริษัทลูกพร้อมโรงงานประกอบรถขึ้นในไทยอย่างเป็นทางการ โดยนับเป็นบริษัทลูกแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“โรยัล เอ็นฟีลด์ ประสบความสำเร็จในประเทศไทยนับตั้งแต่การเข้าสู่ตลาดในปี 2015 ความสำเร็จนี้มาจากสินค้าที่เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า เพราะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มีความคลาสสิกและความเก๋าอยู่ในตัว ซึ่งเป็น DNA ของโรยัล เอ็นฟีลด์ ประกอบกับแผนกลยุทธ์ที่หลากหลาย รวมถึงแคมเปญทางการตลาดที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนการขับขี่ที่แข็งแกร่ง” อนุจเปิดเผยถึงความสำเร็จของโรยัล เอ็นฟีลด์ ในเมืองไทย

และอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้โรยัล เอ็นฟีลด์ เติบโตอย่างรวดเร็ว คือการจับมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างกิจกรรมทางการตลาด ทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในการโปรโมตการท่องเที่ยว รวมถึงร่วมมือกับการกีฬาแห่งประเทศไทยจัดศึกมวยไทยรากหญ้า เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือต่างๆ เหล่านี้ทำให้โรยัล เอ็นฟีลด์ สามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากขึ้น

ปัจจุบันโรยัล เอ็นฟีลด์ มีฐานลูกค้าในไทยมากกว่า 20,000 ราย มีตัวแทนจำหน่ายกว่า 30 แห่ง ใน 24 จังหวัด มีคลับของคนรักโรยัล เอ็นฟีลด์ มากกว่า 52 คลับทั่วประเทศ และเป็นเบอร์ 2 ในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง ซึ่งเรียกได้ว่าไทยเป็นฐานสำคัญในการรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของโรยัล เอ็นฟีลด์ เลยก็ว่าได้

แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์โดยรวมของปีนี้ก็สร้างความท้าทายให้กับโรยัล เอ็นฟีลด์ ไม่น้อย ทั้งสภาวะทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยังส่งผลต่อภาพรวมของตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (250cc-750cc) โดยปัจจุบันมียอดขายอยู่ราวๆ 25,000-27,000 คันเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ โรยัล เอ็นฟีลด์ ยังคงมองเห็นโอกาสที่ดีในอนาคต โดยคาดการณ์การเติบโตของยอดขายไว้ที่ 10-20% ในปีงบประมาณ 2567/2568 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 4,000 คัน

สำหรับกลยุทธ์ที่โรยัล เอ็นฟีลด์ จะนำมาใช้ในการบุกตลาดในไทยปีนี้คือการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ชาวไทยทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ โดยได้เปิดตัวไปแล้ว 2 รุ่น และปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 2 รุ่น นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อเสนอแนวทางและทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินให้กับลูกค้า, ขยายไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์และเครื่องแต่งกาย ด้วยการเปิดตัวคอลเลกชันเครื่องแต่งกายใหม่ๆ รวมถึงการขยายธุรกิจฟลีทเพื่อสร้างการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจ

นอกจากนั้น ยังมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายเพิ่มเติม ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 14 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 30 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ ที่สำคัญคือการเดินหน้าสร้างชุมชนการขับขี่และผู้ที่ชื่นชอบในแบรนด์โรยัล เอ็นฟีลด์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์และขยายฐานลูกค้า

“โรยัล เอ็นฟีลด์ มีกิจกรรมพาลูกค้าไปขับขี่ตามปรัชญา ‘Exploration’ เป็นประจำ โดยตัวแทนจำหน่ายทุกที่มี KPI ที่จะต้องพาลูกค้าไปขับขี่เป็นประจำทุกเดือน ก่อนหน้านี้เวลาจัดกิจกรรมจะมีลูกค้ามาร่วมประมาณ 5-6 คน ปัจจุบันแต่ละเดือนมีประมาณ 20-30 คน นั่นหมายความว่าคอมมูนิตี้เติบโตขึ้น แบรนด์ได้รับการยอมรับและมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะเราไม่ได้ขายรถมอเตอร์ไซค์ แต่เราขายวิถีและการใช้ชีวิตของรถมอเตอร์ไซค์ ที่สำคัญโรยัล เอ็นฟีลด์ มีการวางแผนกลยุทธ์การตลาด การขาย กับตัวแทนจำหน่าย ทีมขาย เซลส์ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตลาดชะลอตัวเช่นนี้ที่เรียกได้ว่าวางแผนกันทุกเดือน ด้วยกลยุทธ์ที่เตรียมไว้ และภาพรวมของเศรษฐกิจที่จะทยอยฟื้นตัว เชื่อว่าจะกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ได้ในอนาคตอย่างแน่นอน” อนุจ ดัว กล่าวทิ้งท้าย.

ภาพจาก www.royalenfield.com