วันพฤหัสบดี, เมษายน 18, 2024
Home > Cover Story > อสังหาฯ บางบัวทองยังแข่งเดือด เจ้าตลาดพร้อมลุยโครงการใหม่

อสังหาฯ บางบัวทองยังแข่งเดือด เจ้าตลาดพร้อมลุยโครงการใหม่

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่านบางบัวทองยังคงเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีการแข่งขันที่ดุเดือดและหลากหลายมากขึ้นในทุกระดับสินค้า ผู้ประกอบการพร้อมลุยขยายโครงการ ตอบรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายการคมนาคมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

จังหวัดนนทบุรีถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นเมืองที่อยู่อาศัยในทุกรูปแบบ มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเครือข่ายการคมนาคม ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-คลองบางไผ่ ขยายถนนเชื่อมต่อเส้นทางหลัก รวมถึงการผุดขึ้นของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทั้งเซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต และเมกา บางใหญ่ เพื่อรองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยบนทำเลที่ใกล้กรุงเทพฯ ทำให้ตัวเลขโครงการที่อยู่อาศัยทยอยเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่านบางบัวทอง ที่มีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อยแข่งขันกันอย่างคึกคัก

วิลล่า คุณาลัย ในฐานะเจ้าตลาดที่อยู่อาศัยในทำเลบางบัวทอง ก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดในโซนนี้ด้วยเช่นกัน โดยพัฒนาสินค้าบ้านใหม่ๆ ให้ครบทุกเซกเมนต์ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยวพรีเมียม และอาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันก็พัฒนาสินค้าบ้านใหม่ๆ เพื่อทดแทนสินค้าที่กำลังจะหมดลง รองรับความต้องการที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

“จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาฝุ่นมลภาวะในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เริ่มมองหาบ้านแนวราบและที่อยู่อาศัยที่มีความคุ้มค่ามากขึ้น และสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้ครบทุกมิติ ซึ่งในโซนบางบัวทองถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีความโดดเด่นในแง่ของราคาที่ไม่แพงเกินไป มีการแข่งขันที่หลากหลายในทุกระดับสินค้า ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกที่อยู่อาศัยตามที่ต้องการในราคาที่จับต้องได้” ประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ “KUN” เปิดเผย

กลยุทธ์หลักของวิลล่า คุณาลัย คือการพัฒนาตัวสินค้าให้คอนเซ็ปต์ “คุ้มค่า น่าซื้อ” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของคุณาลัย รวมถึงการตลาดที่มีความเฉพาะสำหรับกลุ่มฐานลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการแนะนำและบอกต่อ

ปัจจุบันวิลล่า คุณาลัย มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและพัฒนาในโซนบางบัวทอง ทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วบางส่วน และยังคงมีสินค้าเหลือขายพร้อมรับรู้รายได้อีกจำนวน 615 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2,220 ล้านบาท

อีกทั้งยังมีที่ดินดิบในโซนดังกล่าวอยู่อีกถึง 60 ไร่ ซึ่งหากนำมาพัฒนาโครงการ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1,800 ล้านบาท รองรับการเติบโตในอนาคตได้อีก 5-7 ปีข้างหน้า

และล่าสุดยังได้เปิดตัวโครงการ “คุณาลัย พาร์โก้” บ้านสไตล์โมเดิร์น อิตาเลียน แห่งแรกในโซนบางบัวทอง ชูคอนเซ็ปต์ครอบครัวที่อยู่ร่วมกันได้หลากหลายเจนเนอเรชันในบ้านหลังเดียว ในระดับราคาเริ่มต้นที่ 4.79 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นบ้านราคาที่สูงที่สุดของโครงการ “คุณาลัย”

สำหรับโครงการ “คุณาลัย พาร์โก้” มีจำนวนทั้งสิ้น 96 ยูนิต บนที่ดิน 21 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย 1. LUCCA ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 150 ตารางเมตร 2. COMO ขนาดพื้นที่ใช้สอย 170 ตารางเมตร และ 3. VERONA ขนาดพื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร

ประวีรัตน์เปิดเผยว่า “ตลอด 35 ปีที่เราอยู่ในพื้นที่นี้มาจนได้ชื่อว่าเป็นควีนออฟบางบัวทองนั้น เราเห็นว่าบางบัวทองมีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก เป็นโซนที่อยู่อาศัยชั้นดีของนนทบุรี มีครบทุกอย่างทั้งคมนาคม โรงพยาบาล โรงเรียน และตลาดทุกระดับ ที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย แต่จะสังเกตว่าที่ดินใกล้รถไฟฟ้าเริ่มหมดแล้ว รายใหญ่ๆ เริ่มเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะ การแข่งขันก็ท้าทายขึ้นด้วย แต่จะเป็นการแข่งขันที่ต่างจาก 3 ปีที่แล้ว ที่เป็นการแข่งขันเรื่องราคา ในขณะที่ปัจจุบันเราแข่งขันกันด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นหลัก”

นอกเหนือจากโซนบางบัวทองแล้ว คุณาลัยยังมองหาที่ดินในจังหวัดนนทบุรีโซนอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่อำเภอบางใหญ่ เพราะดีมานด์ที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเติบโตสูง

ไม่เพียงเท่านั้น แผนธุรกิจในอนาคตของคุณาลัยคือการขยายโครงการต่อไปให้ครบทั้ง 4 ทิศของกรุงเทพฯ นอกเหนือจากทิศตะวันตกที่มีโซนบางบัวทองเป็นแฟลกชิปแรก โดยจะขยายต่อไปยังทิศตะวันออกทางฉะเชิงเทรา ทิศใต้ในโซนบางขุนเทียน และทิศเหนือในโซนปทุมธานีและรังสิต

โดยโครงการใหม่ที่มีแผนเตรียมเปิดตัวในปีนี้ นอกเหนือจาก “คุณาลัย พาร์โก้” แล้ว ยังมีอีก 2 โครงการคือ 1. โครงการ คุณาลัย เดซี่ (Kunalai Daisy) โซนบางบัวทอง มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท มีทั้งบ้านแฝดและบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุด และเป็นโครงการที่พัฒนาใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่กำลังจะหมด

2. โครงการ คุณาลัย นาวาร่า (Kunalai Navara) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงเทพฯ คือโซนพระราม 2-บางขุนเทียน มูลค่าโครงการถึง 3,000 ล้านบาท และถูกวางเป็นอีกหนึ่งแฟลกชิปนอกเหนือจากบางบัวทอง โดยความพิเศษของโครงการดังกล่าวคือเป็นทำเลที่เป็นปอดของกรุงเทพฯ และยังเป็นทำเลที่มีดีมานด์ของที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปี 2565 คุณาลัยจะทำการรีแบรนดิ้งองค์กร เพื่อสร้างแบรนด์คาแรกเตอร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยในทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่วนในแง่รายได้ตั้งเป้าเติบโตเพิ่ม 15-20% จากปี 2564 ยอดขายตั้งไว้ที่ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 ที่ 1,510 ล้านบาท และคาดว่าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรของคุณาลัย หลังจากได้ลงทุนมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในฐานะของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มองว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยเชื่อว่าปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่พ้นจุดที่ต่ำสุดมาแล้ว ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคคือที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงระดับราคาที่ 2-8 ล้านบาท และจะเป็นเซกเมนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ระบุว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ ส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนหน่วยลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -6.5 โดยมีจำนวน 197,089 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 952,329 ล้านบาท

ด้านทำเลเด่นหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขายซึ่งหมายถึงมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1. โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ อันดับ 2. โซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง อันดับ 3. โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ อันดับ 4. โซนบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย และอันดับ 5. โซนหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน

ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565

ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2565 คาดการณ์ว่าการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดจะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังจากชะลอตัวต่อเนื่องมาถึง 2 ปี

โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 83,608 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.2 มูลค่า 386,757 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.6 ในจำนวนดังกล่าวเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่ประเภทโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 39,089 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2 มูลค่า 209,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 เป็นประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 44,519 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 111.5 มูลค่า 177,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 184.7

และคาดการณ์ว่าจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยโครงการที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะขายได้จำนวน 77,222 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 มูลค่า 346,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.1

ประกอบด้วยจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ประเภทโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 35,466 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 มูลค่า 180,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 หน่วยขายได้ใหม่ประเภทโครงการอาคารชุดจำนวน 41,756 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 มูลค่า 165,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.0
แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนหน่วยเหลือขายยังคงเป็นตัวเลขที่น่าจับตา ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ซึ่ง REIC ประเมินว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เปิดโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยในปี 2565 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังหากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากจนต้องมีการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร

นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อ ที่ยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวล.

ใส่ความเห็น