วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
Home > New&Trend > ภาคีจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์-โคมไฟ สืบสานวิถีเยาวราชส่งต่อคนรุ่นใหม่

ภาคีจัดเทศกาลไหว้พระจันทร์-โคมไฟ สืบสานวิถีเยาวราชส่งต่อคนรุ่นใหม่

ภาคีวัฒนธรรมชี้อัตลักษณ์ย่านเยาวราชสูงค่า ร่วมถ่ายทอดแก่นแท้ของเทศกาลไหว้พระจันทร์และองค์ความรู้ในพื้นที่อย่างเหมาะสม หากลวิธีส่งต่อให้คนรุ่นใหม่สืบสานพื้นที่วัฒนธรรมอันทรงคุณค่าและสีสันที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว

โครงการวิจัยการพัฒนาทุนทางศิลปะและวัฒนธรรมย่านเยาวราช มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับชุมชนเลื่อนฤทธิ์ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในย่านเยาวราช จัดกิจกรรม “Moon Festival” ไหว้พระจันทร์ วันดูโคม ชมศิลปะ ณ ชุมชนเลื่อนฤทธิ์ ถ.เยาวราช พร้อมจัดเสวนา “คุณค่า การเปลี่ยนผ่าน และการต่อยอด, ประเพณีจีนในสังคมไทย”

ศ. ดร.พรศักดิ์ ศรีอมรศักดิ์ ผู้จัดการโครงการวิจัย กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์มีความสำคัญรองมาจากเทศกาลตรุษจีน นักวิจัยใช้พื้นที่ของชุมชนและเทศกาลเป็นตัวเชื่อมคนภายในกับคนภายนอกให้มองเข้ามาในพื้นที่เยาวราชซึ่งยังคงรักษาประเพณีไว้ โดยมีอีกตัวเชื่อมหนึ่งคือ “โคมไฟ” อันเป็นสัญลักษณ์การไหว้พระจันทร์ในอดีต เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ แนวคิดเรื่องคุณค่า การเปลี่ยนผ่าน และการต่อยอด โดยมองว่าวัฒนธรรมอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่เราจะปรับเปลี่ยนและอยู่กับวัฒนธรรมเหล่านี้ได้อย่างไร การถ่ายทอดประเพณีไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน รวมทั้งค้นหากลไกแนวทางจัดการศิลปะของชุมชน และสร้างเวทีพบปะสังสรรค์ทางความคิด โดยได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชน ภาครัฐ เอกชนเป็นภาคีสำคัญ

ด้านนายไพศาล หทัยบวรพงษ์ ผู้เชียวชาญด้านวัฒนธรรมจีน เผยว่า ในฐานะลูกหลานจีนรุ่นที่ 3 ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบเทศกาลไหว้พระจันทร์ในประเทศไทยที่นับวันเลือนหายไป ในขณะที่ช่วงเดินทางไปเยี่ยมบรรพบุรุษที่เมืองซัวเถา พบว่าการไหว้พระจันทร์กลับมาคึกคัก ไหว้กันแทบทุกบ้าน หากชุมชนเลื่อนฤทธิ์จะรักษาประเพณีนี้ไว้ให้รุ่งเรืองต้องตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เข้าใจถึงแก่นแท้ แม้บางอย่างเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเพื่อความเหมาะสม และไม่ตกเป็นเหยื่อของซินแสในโซเชียลมีเดียที่ทำให้แก่นแท้ของเทศกาลกลายเป็นเรื่องการค้าจนเกินไป

“เราเห็นศาลเจ้าแม่ทับทิมทั่วประเทศไทย เพราะเป็นศาลเจ้าที่ท่าน้ำเมืองซัวเถาในประเทศจีนที่คนจีนเห็นก่อนขึ้นเรือมาแผ่นดินไทย การมีศาลเจ้าเพื่อให้คุ้มครองยามเมื่อมาอยู่เมืองไกลเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่ปกป้องคุ้มครองทางจิตใจให้ชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในเมืองไทย คนจีนมีคำสอนว่า เมื่อกินน้ำต้องรู้พิกัดต้นนำของเรา ว่าเราเป็นใครมากจากไหน จะได้เข้าใจถึงคุณค่าอย่างแท้จริงว่าไหว้อากงอาม่าไปทำไม ให้กลับมาเห็นคุณค่า”

ขณะที่ ดร.ปวีณา กลกิจชัยวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการเพิ่มมูลค่าสินค้าทางวัฒนธรรม เสนอว่าชุมชนเยาวราชไม่ควรเปลี่ยนแปลงตัวเองจนสูญเสียอัตลักษณ์ที่มีเสน่ห์ เยาวราชคือความไม่สมบูรณ์แบบ เป็นย่านที่เต็มไปด้วยความจอแจ ผู้คนร้องตะโกนโหวกเหวกในชุมชน และเชื่อมโยงรู้จักกันเกือบหมด ศาลเจ้าที่มีกลิ่นธูปตลบแต่เต็มไปด้วยความหวังยามต้องการกำลังใจ แม้แต่งกายมอซอแต่เป็นเจ้าสัวผู้ถ่อมตน สิ่งเหล่านี้เป็นสีสันเสน่ห์เฉพาะตัวที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต่างถวิลหา คนสิงคโปร์แม้เจริญร่ำรวยแต่มาเที่ยวเยาวราชเพราะเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อย่าให้สูญเสียอัตลักษณ์เหมือนตรอกข้าวสารที่เต็มไปด้วยคนขายของต่างชาติ ร้านกาแฟระดับโลก หรือวัดหลายแห่งในฮ่องกงที่ขาดสีสันเพราะมีแต่กล่องบริจาคเรียงราย แก่นแท้การไปศาลเจ้าคือสัมผัสประสาทรับรู้ทั้ง 5 ที่เต็มไปด้วยความเชื่อมโยงแบบมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน “ขอชื่นชมชุมชนเลื่อนฤทธิ์ที่จัดงานนี้ สะท้อนให้เห็นความเป็นเยาวราชที่ทุกคนต้องช่วยกันปกป้อง คุณค่าของความเป็นตัวเราที่รุ่นอากงอาม่าต่อสู้สร้างเนื้อสร้างตัวมุมานะ ซึ่งหาจากย่านร่ำรวยหรือห้างหรูหรากลางเมืองไม่ได้ ที่สำคัญการรักษาประเพณีจีนต้องปรับเปลี่ยนเพื่อส่งทอดต่อคนรุ่นใหม่โดยคงเรื่องราววัฒนธรรมไว้เช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนภาษาในการสื่อสารใหม่ เช่น เชื่อมเทศกาลไหว้พระจันทร์เข้ากับความรักเพื่อดึงให้คนรุ่นใหม่สนใจว่าเหตุใดคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ยังต้องไหว้เจ้า ไหว้พระจันทร์”

ด้านบทบาทของวัดในฐานะแหล่งเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ของชุมชนและแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน พระอาจารย์ ดร.ธวัชชัย แก้วสิงห์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส ระบุว่าสิ่งสำคัญคือวัดต้องร่วมมือกับชุมชนในการรักษาศิลปะวัฒนธรรม ทั้งการบูรณะวัดที่ไม่ให้กระทบรูปแบบเก่าแก่ดั้งเดิม การเก็บข้อมูลวัฒนธรรมประเพณี เช่น เทศกาลไหว้พระจันทร์ ประเพณีชุกฮวยฮึ๊ง (พิธีการพ้นจากความเป็นเด็ก สู่ความเป็นผู้ใหญ่) รวมถึงสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้ามาเรียนรู้ผ่านวัดหรือพื้นที่อนุรักษ์ต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องร่วมกันดูแลเพราะตัวเองเป็นพระชุดสุดท้ายที่เคยเข้าไปทำพิธีในเวิ้งนครเกษมที่ปัจจุบันได้หายไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับพระอาจารย์ ดร.ภาณุวัฒน์ เลิศประเสริฐพันธ์ ที่เสนอมุมมองว่าคนรุ่นเก่าต้องเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเพณีคงอยู่ได้เหมาะสมกาลเวลา เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่คิดริเริ่มเพื่อหาจุดลงตัว เทศกาลอาจต้องปรับให้ประหยัด สะดวก แต่คงคุณค่าแก่นแท้ประเพณีไว้

ผู้สนใจสามารถเข้าชมงานนิทรรศการ Moon Festival ได้ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์จนถึงวันที่ 30 ตุลาคมนี้ เวลา 09:30-16:00 น. โดยนำเสนอผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คน เช่น เทคนิคภาพเล่าเรื่อง ประตูลูกกรงเหล็ก ป้ายไฟการค้า สะท้อนรูปแบบการค้าหรือวิถีเยาวราช Way of life in Yaowarat แสงจากชีวิตในเยาวราช Light of Yaowarat มื้ออาหารของชาวฮากกา เรื่องเหล้า 14 วัน 14 Days of Spirits และการจัดวาง (installation) เสียงแตรรถ เสียงบทสนทนาระหว่างแม่ค้าเพื่อให้เกิดเรื่องเล่าสะท้อนชีวิตของผู้คนในหนึ่งวันในเยาวราช เป็นต้น

ศ. ดร.พรศักดิ์ ศรีอมรศักดิ์ ผู้จัดการโครงการวิจัย

 

ใส่ความเห็น