วันอังคาร, มีนาคม 19, 2024
Home > New&Trend > ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) เครือสหพัฒน์ จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” เตรียมรุกตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดโลก

ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) เครือสหพัฒน์ จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” เตรียมรุกตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดโลก

สองธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย “ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย)ฯ” เครือสหพัฒน์ จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลไทย เตรียมรุกตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดโลก ผ่านช่องทางทีวีช้อปปิ้ง “ช้อป ชาแนล(SHOP Channel)” ช่อง PSI 45 และ 445, ช่อง True visions HD 52, ช่อง G-MM Z 69 และ 102 หวังกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภค ผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถด้านการผลิตสินค้าเครื่องสำอางไทยสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น หลังครองแชมป์อันดับ 1 ตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน และอันดับ 3 ในเอเชียเป็นรองแค่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ด้วยยอดมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท

บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ผ่านทีวีช้องปปิ้งจากญี่ปุ่นในนาม “ช้อป ชาแนล (SHOP Channel)” เครือสหพัฒน์ จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (Thai Cosmetic Cluster)” หลากหลายอุตสาหกรรมธุรกิจด้านเครื่องสำอางไทย ภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกัน โดยมี คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เป็นสักขีพยาน พร้อมด้วย ผู้บริหารจากทั้งสองฝั่งมาร่วมลงนามในบันทึกขอตกลงร่วมกันในครั้งนี้ ประกอบด้วย คุณสรโชติ อำพันวงษ์ ประธานฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ช้อปโกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด, มร.นาโอฮิซะ ยากิ (Naohisa Yagi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด, คุณลักษณ์สุภา ประภาวัติ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย และ คุณสุพัฒน์ เลาระวัตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สกินเทค อินเตอร์โปรดักส์ จำกัด ณ ห้องพุทธรักษา ชั้น 6 บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

มร.นาโอฮิซะ ยากิ (Naohisa Yagi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทช้อป โกลบอล (ประเทศไทย)ฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2556 จนถึงปัจจุบันก็เป็นระยะเวลา 5 ปีแล้ว ที่บริษัทฯ ได้มาเปิดตลาดในประเทศไทย โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น (Sumitomo Corporation) ของญี่ปุ่น กับ เครือสหพัฒน์ ช่อง “ช้อป ชาแนล (SHOP Channel)” ที่ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นช่องช้อปปิ้งทีวีอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่มีการออกอากาศครอบคลุมทั่วประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น “ช้อป ชาแนล (SHOP Channel)” ยังมีความมุ่งมั่นสู่ตลาดไทยด้วยความช่วยเหลือด้านการตลาดจาก “ช้อป ชาแนล ญี่ปุ่น” และความร่วมมือที่สำคัญจากทางเครือสหพัฒน์ของไทย

มร.ยากิ ยังกล่าวด้วยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันที่การใช้ชีวิตของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ตลาดโลกเปิดมากขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า หรือค้นหาข้อมูลของสินค้าได้จากหลายช่องทาง รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญกับคู่แข่งหรือการแข่งขันของผู้ประกอบการรายอื่นๆ ภายใต้ของการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกค้า “ราคา” หรือ “ของฟรี” ทั้งสองอย่างไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าและถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจของเราในช่วงเวลานี้คือ “สินค้า”

“ช้อป ชาแนล (SHOP Channel) เรามี 7 สิ่งสำคัญในการเลือกสินค้าเพื่อลูกค้าของเราคือ 1.หายาก 2.มีจำกัด 3.มีคุณสมบัติเฉพาะ 4.ราคาสมเหตุสมผล 5.มีเรื่องราว 6.มีเอกลักษณ์ และ 7. มีคุณค่า ยังมีสินค้าที่น่าสนใจอีกมากมายในประเทศไทย ที่คนไทยบางคนอาจจะยังไม่รู้จัก รวมถึงสินค้าในกลุ่มของ SME ที่มีคุณสมบัติครบตรงตาม 7 สิ่งที่สำคัญที่ได้กล่าวไป ผู้ประกอบการจะต้องเล่าเรื่องว่าทำไมถึงอยากจะพัฒนาสินค้าของคุณเองหรือจุดเด่นสินค้าของคุณคืออะไร และจุดไหนที่ยากที่สุดสำหรับคุณในการทำสินค้าของตัวเองเป็นต้น ศูนย์กลางของเราคือ ทีวี การจะเข้าถึงจุดสำคัญของการตลาดในปัจจุบันได้ตรงเป้าหมายที่สุดนั้น อยู่ที่การเตรียมการหรือการหาสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยที่เชื่อมต่อระหว่างคนดูโดยตรง เพื่อเป็นเสียงไปถึงผู้ประกอบการนั้นๆ”

ด้านคุณสรโชติ อำพันวงษ์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางไทยมีมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือเกือบประมาณ 3 แสนบาท ไทยคือผู้ส่งออกเครื่องสำอางอันดับ 1 ในอาเซียน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางในไทย มากกว่า 10,000 ราย อีกทั้งเครื่องสำอางยังเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญไม่แพ้อุสาหกรรมอื่นๆ ของประเทศ โดยที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมของไทยได้ให้การสนับสนุนรวบรวมผู้ประกอบการในประเภทต่างๆตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เข้าด้วยกัน คือ วัตถุดิบ,โรงงาน,แบรนด์สินค้า และผู้จัดจำหน่าย มาจัดตั้งเป็น “กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” เพื่อพัฒนาสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ

“บริษัท ช้อบ โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น เจ้าของธุรกิจทีวีช้อปปิ้งอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นกับเครือสหพัฒน์ บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย มีนโยบายให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการขายสินค้าคุณภาพให้กับลูกค้าผ่านช่องทางทีวีผสมผสานแบบ โอม นิ แชลแนล (Omni Channel) โดยเน้นสินค้าใน 4 กลุ่มหลัก คือ 1.เครื่องประดับ 2.แฟชั่น 3.สุขภาพความงาม และ 4.เครื่องใช้/เครื่องไฟฟ้าในบ้าน ด้วยเครือข่ายช่องทางการขาย การประชาสัมพันธ์ และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือ ระหว่าง บริษัทฯ กับทางกลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เพื่อร่วมพัฒนาและเป็นช่องทางในการนำเสนอสินค้าคุณภาพของผู้ประกอบการสู่ลูกค้าในช่องทางต่างๆ รวมถึงโอกาสการไปเปิดตลาดในประเทศญี่ปุ่น และความร่วมมือด้านอื่นๆ ในอนาคต” คุณสรโชติ กล่าว

ในฐานะพาร์ตเนอร์คนสำคัญ คุณลักษณ์สุภา ประภาวัติ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ภายใต้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ และความชำนาญด้านคุณภาพ ปัจจุบันเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม ส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีมูลค่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกายเครื่องหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น มีมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นตลาดในประเทศประมาณ ร้อยละ 60 และตลาดส่งออกคิดเป็น ร้อยละ 40 ของมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจของธุรกิจ โดยภาพรวมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครื่องสำอางอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อีกทั้งยังเป็นอันดับ 1 ของตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ความชำนาญ และคุณภาพ

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย มีสัดส่วนการขยายตัวในด้านการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญ อย่างเช่นประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงขึ้นทุกปี และประเทศไทยยังมีมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางเป็นที่ 1 ในอาเซียนโดยครองส่วนแบ่งตลาด ถึงร้อยละ 40 จากสถิติในปี 2560 ผู้ประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยที่จดทะเบียน มีจำนวน

ประมาณ 2,000 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางธุรกิจขนาดเล็ก 68 เปอร์เซ็นต์, ผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดกลาง 29 เปอร์เซ็นต์ และผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดใหญ่ 3 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม เช่น สมุนไพร เคมีอาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว และพลาสติก เป็นต้น

ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ยังกล่าวต่อว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมของ SME ที่รวมผู้ประกอบการ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำเข้าด้วยกันสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแบบรวมกลุ่ม โดยจะเน้นได้จากทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ และจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังถือเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศในอัตราที่สูง

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆให้แก่ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในทุกระดับห่วงโซ่อุปทานที่สามารถบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลทางอุตสาหกรรม เพื่อจะส่งให้การประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์กระแสความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้ สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลก ที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว

“นอกเหนือจากการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายสู่การเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาและรวมกลุ่มกับประเทศต่างๆสู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกคลัสเตอร์เครื่องสำอางโลก หรือ Cosmetic Valley โดยถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกของไทยที่ได้เข้าสู่ในระดับนานาชาติ นับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยเกิดการเชื่อมโยงและพัฒนาไปในทิศทางเดี่ยวกันกับประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมดังกล่าว” คุณลักษณ์สุภา กล่าวทิ้งท้าย

ใส่ความเห็น