วันเสาร์, เมษายน 20, 2024
Home > Cover Story > “ดับเบิ้ลยู” เปิดตัว Plastic Surgery Hospital ทุ่มงบรุกตลาดเสริมความงาม

“ดับเบิ้ลยู” เปิดตัว Plastic Surgery Hospital ทุ่มงบรุกตลาดเสริมความงาม

ปัจจุบันเราก้าวเข้าสู่ยุคที่การทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะใครๆ ก็อยากมีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามดูดี อีกทั้งเทคนิควิธีในการทำศัลยกรรมก็พัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อน มีมาตรฐาน ปลอดภัย และไม่ยุ่งยาก ส่งผลให้คลินิกเสริมความงาม โรงพยาบาลเฉพาะด้านศัลยกรรมทั้งที่ดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเหล่าดารา เซเลบริตี้ชื่อดัง ต่างผุดขึ้นจำนวนมาก

ภาพรวมของธุรกิจเสริมความงามในประเทศไทยอยู่ในช่วงขยายตัวสูงและเติบโตขึ้นทุกปี ชนิดที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจอื่นๆ โดยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 60,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี จึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งผู้เล่นหน้าเก่าที่พยายามปรับกลยุทธ์และผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งกลุ่มคลินิกความงาม กลุ่มโรงพยาบาลที่หันมาให้ความสำคัญกับบริการทางด้านศัลยกรรมเสริมความงามเพิ่มเติมจากเดิม และโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามเฉพาะด้านที่เปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มคลินิกความงามที่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งในห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และแบบสแตนด์อโลน นับเป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันทางด้านราคากันค่อนข้างสูง ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลนั้นมีทั้งโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านศัลยกรรมความงามจนเป็นที่รู้จักอยู่แล้วและที่เริ่มรุกตลาดความงามที่ต่างปรับกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดกันตลอดเวลา ทั้งโรงพยาบาลยันฮี โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบางมด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลเวชธานี และโรงพยาบาลนครธน

โดยการให้บริการในตลาดเสริมความงามที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่คือบริการด้านผิวพรรณและการชะลอวัย เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม ขณะที่ตลาดศัลยกรรมมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นศัลยกรรมตา จมูก และเสริมหน้าอก ซึ่งแนวโน้มการใช้บริการไม่ได้จำกัดเฉพาะวัยใดวัยหนึ่งเท่านั้น แต่มีการขยายตัวในทุกช่วงวัย โดยกลุ่มสถานบริการเสริมความงามที่ให้บริการครบวงจรทั้งการดูแลรักษาผิวพรรณและศัลยกรรม มีแนวโน้มที่จะเติบโตมากกว่ากลุ่มที่เน้นการรักษาผิวเพียงอย่างเดียว

แต่ที่น่าสนใจคือเทรนด์ความงามแบบเกาหลี ที่ยังอยู่ในกระแสความงามของคนไทย ผ่านทางวัฒนธรรมเกาหลีที่แทรกซึมเข้ามาทางสื่อบันเทิง ดารา ศิลปิน นักร้อง แฟชั่น และการท่องเที่ยว จนกลายเป็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ คลินิกความงามหลายแห่งผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลี รวมไปถึงทัวร์ศัลยกรรมที่นิยมพาลูกค้าไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีโดยมีดารา นางแบบ เน็ตไอดอล และเซเลบริตี้เป็นพรีเซนเตอร์ สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศเกาหลี

ในขณะที่ประเทศไทยเองก็มีศักยภาพ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำศัลยกรรมความงาม และเครื่องมือที่ทันสมัยไม่ด้อยไปกว่ากัน ถ้าสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้าได้ก็จะช่วยดึงเม็ดเงินกลับเข้าประเทศและทำให้ตลาดเติบโตได้มากขึ้นกว่าเดิม

นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวไว้ว่า “ประเทศไทยมีชื่อเสียงและเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมความงามของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้นที่เชี่ยวชาญเรื่องศัลยกรรม คือ ไทยและเกาหลี โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญการ ให้บริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสูง ตลอดจนมีความพร้อมด้านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว ส่งผลให้ตลาดศัลยกรรมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม”

จึงเป็นที่มาของการรวมตัวของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมความงามร่วมกันก่อตั้ง “โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งดับเบิ้ลยู” (W Plastic Surgery Hospital) โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อบริการความงามครบวงจร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ย่านถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท

โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งดับเบิ้ลยูก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านศัลยกรรมความงามมากว่า 30 ปี อย่าง รศ.นพ.ศิรชัย จินดารักษ์ ที่ควบตำแหน่ง นายกสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย และนพ.กำธร ศิริพันธุ์ ที่ผ่านการบริหารงานด้านความงามจากสถาบันชื่อดังอย่างสถาบันสุขภาพความงามตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท และเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการแพทย์ บริษัท วุฒิศักดิ์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด มาก่อน

โดยกำหนดโพซิชั่นให้ดับเบิ้ลยูเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งระดับนานาชาติ บริการศัลยกรรมตกแต่งและผิวพรรณเพื่อความงามเต็มรูปแบบ (Total Beauty Solutions) ทั้งฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ ร้อยไหม สลายไขมัน ศัลยกรรมตกแต่งเสริมหน้าอก ทำตา ทำจมูก ไปจนถึงผ่าตัดแปลงเพศ รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชายและหญิงที่ต้องการศัลยกรรมความงามที่มีคุณภาพ

ในยุคที่การแข่งขันในธุรกิจความงามยังคงดุเดือดทั้งในประเทศและต่างประเทศเช่นนี้ นพ.กำธร ศิริพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งดับเบิ้ลยู ได้เน้นย้ำถึงจุดเด่นของโรงพยาบาลเอาไว้ 3 ประการ คือ 1. มาตรฐานการแพทย์ ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 2. องค์ประกอบด้านสถานที่ ทำเลที่ตั้งสะดวกสบาย และ 3. การบริการระดับ 5 ดาว ที่ครอบคลุมถึงการดูแลและติดตามหลังการรักษา ยังไม่นับรวมเครื่องมืออันทันสมัยที่จะเข้ามาช่วยให้การศัลยกรรมความงามได้ผลดี อย่างเช่นเครื่องสแกนใบหน้าและรูปร่าง ที่ช่วยออกแบบการทำศัลยกรรมประกอบการตัดสินใจให้กับผู้มาใช้บริการ

จากจุดแข็งของโรงพยาบาลบวกกับชื่อชั้นของทีมแพทย์ผู้ก่อตั้งที่คร่ำหวอดในวงการศัลยกรรมความงามมานาน จึงไม่น่าแปลกที่แม้จะเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่มีลูกค้ามาใช้บริการจำนวนไม่น้อย โดยสัดส่วนลูกค้าอยู่ที่ลูกค้าศัลยกรรม 60% ผิวพรรณและความงาม 40% และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น

ด้านแผนการตลาด โรงพยาบาลมุ่งสร้างการรับรู้ในตัวโรงพยาบาลไปยังกลุ่มลูกค้า โดยใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลักตามพฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงและรวดเร็ว ในระยะยาววางเป้าขึ้นแท่นเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการด้านความงามในระดับนานาชาติ โดยจะมีการทำการตลาดต่างประเทศต่อไปในอนาคต

ข้อได้เปรียบที่ นพ.ศิรชัย มองว่าสามารถใช้เพื่อดึงฐานลูกค้าคนไทยให้กลับมาให้ความสนใจทำศัลยกรรมเสริมความงามในประเทศมากขึ้น นั่นคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่ถูกกว่า อย่างเช่น การศัลยกรรมจมูก ที่ดับเบิ้ลยูเริ่มต้น 25,000 บาท ถ้าเป็นที่เกาหลีจะแพงกว่านี้ถึง 3-4 เท่า ซึ่งยังต้องบวกค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางและที่พักไปด้วย นอกจากนี้ การดูแลหลังจากทำศัลยกรรมก็ทำได้ง่าย รวดเร็ว และใกล้ชิดกว่า

ไม่เพียงแค่ดึงลูกค้าคนไทยให้กลับเข้ามาใช้บริการประเทศเท่านั้น ข้อได้เปรียบเรื่องค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล ตลอดจนมาตรฐานทางการแพทย์และการบริการ ยังเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดลูกค้าต่างชาติให้มาทำศัลยกรรมความงามที่เมืองไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าชาวจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน อย่างกัมพูชา ลาว และพม่า ที่หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และความงามในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบธุรกิจด้านศัลยกรรมและความงามในไทยที่จะสร้างมาตรฐานและพัฒนาศักยภาพขึ้นมาเพื่อรองรับฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่เพียงการแข่งขันภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจศัลยกรรมความงาม เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Surgical Hub of Asia ในอนาคตด้วยเช่นกัน

ใส่ความเห็น