วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
Home > Cover Story > “กสิกิจ พ่วงภิญโญ” กับธุรกิจความงาม ปั้นแบรนด์ Aestox เจาะตลาด

“กสิกิจ พ่วงภิญโญ” กับธุรกิจความงาม ปั้นแบรนด์ Aestox เจาะตลาด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีภาพลักษณ์ที่ดูดีเป็นสิ่งที่หลายๆ คนปรารถนา ซึ่งนั่นทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับความงามยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ดูแลผิวพรรณ เครื่องสำอาง ที่ถูกผลิตออกมาหลากหลายแบรนด์ในท้องตลาด รวมไปถึงสถานเสริมความงามที่ผุดขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน

”ผู้จัดการ 360°” มีโอกาสได้พูดคุยกับ “กสิกิจ พ่วงภิญโญ” หรือคุณทอม กรรมการผู้บริหาร บริษัท เอสเทค ฟาร์มา จำกัด ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นการทำธุรกิจด้วยการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศป้อนให้กับห้างสรรพสินค้าและโรงแรมชั้นนำทั่วประเทศ ก่อนที่จะมองเห็นโอกาสและเบนเข็มเข้าสู่ธุรกิจความงาม ด้วยการปั้นแบรนด์เอสท็อกซ์ (Aestox) สารลดริ้วรอยและยกกระชับใบหน้า “Botuliunm toxin type A” จากประเทศเกาหลี เจาะตลาด 28 ประเทศทั่วโลก

“ผมชอบคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจ ชอบค้าขายอยู่แล้ว ช่วงที่เรียนปริญญาตรีก็เริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ทั้งร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดร้าน และทำธุรกิจอย่างอื่น เห็นช่องทางอะไรก็ลองทำดู” กสิกิจเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางการทำธุรกิจ

จากธุรกิจเล็กๆ ในสมัยเรียนกสิกิจได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจระดับใหญ่ขึ้นหลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ด้วยการเปิดบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายผักผลไม้และอาหารให้กับห้างสรรพสินค้า โรงแรม และฟู้ดเซอร์วิสต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี

“ผมเป็นคนชอบกินและชอบเดินทางท่องเที่ยวด้วย พอเราไปต่างประเทศได้เจอผัก ผลไม้ อาหารใหม่ๆ ของเขา อย่างปูอลาสก้า อโวคาโด ก็เห็นว่ารสชาติมันดี อยากให้ในเมืองไทยมีบ้าง แต่สมัยนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมี เราก็เลยเริ่มธุรกิจนำเข้าผักผลไม้และอาหารจากต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทย เอาสิ่งที่ตัวเองชอบมาทำเป็นธุรกิจเสียเลย”

ธุรกิจนำเข้าผักผลไม้และอาหารของกสิกิจได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะถือเป็นเจ้าแรกๆ ของตลาดในขณะนั้น ประกอบกับคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว และที่สำคัญคือการซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับลูกค้า อันเป็นสิ่งที่กสิกิจมองว่าเป็นหัวใจหลักในการทำธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวยืนระยะมาได้จนถึงปัจจุบัน

หลังจากนั้นกสิกิจยังคงทำธุรกิจอีกหลากหลายอย่าง ทั้งธุรกิจประหยัดพลังงาน และอื่นๆ จนกระทั่งได้มาจับธุรกิจความงามในที่สุด

“ช่วงทำธุรกิจนำเข้าเราทุ่มเท ทำเองทุกขั้นตอน เรียกว่าทำงานหนักมาก บางทีก็ไม่ได้ดูแลตัวเอง จนเพื่อนๆ ทักว่าโทรมไป เราเองก็อยากดูดีขึ้นเลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยต่างๆ ได้มีโอกาสไปคุยกับทางประเทศเกาหลี และได้พบกับคุณหมอที่เป็นผู้คิดสูตรของสารลดริ้วรอย เลยกลายเป็นที่มาของธุรกิจด้านความงามที่ทำอยู่ในปัจจุบันครับ”

ซึ่งธุรกิจที่กสิกิจกล่าวถึง คือการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botuliunm toxin type A) หรือที่คุ้นชินกันในชื่อ โบท็อกซ์ สารลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับ ปรับรูปหน้าจากประเทศเกาหลี ภายใต้แบรนด์เอสท็อกซ์ (Aestox) ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ โดยเปิดตัวมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2562

“ผลิตภัณฑ์เอสท็อกซ์จัดเป็นสินค้าระดับพรีเมียม เพราะทุกขวดส่งตรงมาจากเกาหลีใต้ และที่สำคัญเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยาระดับโลก ทั้งในประเทศไทย เกาหลี จีน และสหภาพยุโรป อีกทั้งยังได้ทำการค้นคว้าและวิจัยร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช โดยศาสตราจารย์แพทย์หญิงรังสิมา วณิชภักดีเดชา อย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 5 ปี เพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยที่ดีที่สุด ปลอดภัย มีมาตรฐาน และไม่มีปัญหายาหิ้วยาปลอม”

แต่ท่ามกลางตลาดความงามที่มีผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดมากมายและการแข่งขันที่ดุเดือด กสิกิจให้เหตุผลที่เลือกโบทูลินั่ม ท็อกซิน มาเป็นตัวนำไว้ว่า

“ตัวโบทูลินั่ม ท็อกซิน ให้ผลค่อนข้างดี สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีผลเสีย และไม่ดื้อยา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณหมอด้วยว่าฉีดตรงจุดหรือไม่ ซึ่งเอสท็อกซ์จะมีการฝึกอบรมให้กับคุณหมอที่ใช้เอสท็อกซ์โดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

ถ้าดูตามไทม์ไลน์จะเห็นว่าเอสท็อกซ์เปิดตัวในช่วงของวิกฤตโควิด-19 ที่ทุกธุรกิจได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า แต่เอสท็อกซ์กลับมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด นั่นแสดงให้เห็นว่าตลาดความงามที่แม้จะทวีความท้าทายในช่วงโควิด-19 แต่ยังคงมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอยู่เสมอ

“ช่วงโควิดเราเติบโตแบบก้าวกระโดด และถ้าถามว่าอะไรคือปัจจัยของการเติบโตนั้น แน่นอนว่าด้วยคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์หนึ่ง แต่ที่สำคัญเลยคือเราเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนทั้งการผลิต ขนส่ง เก็บรักษา จนกระทั่งถึงมือลูกค้า ทุกตัวแทนจำหน่ายจะได้รับการสอนเพิ่มทักษะและเทคนิคพิเศษจากทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีในทุกจุดที่ฉีด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือคุณภาพหลังการขาย มีการติดตามผลความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งนั่นทำให้เกิดการบอกต่อ และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราโตแบบก้าวกระโดด”

กสิกิจอธิบายต่อว่า หัวใจหลักในการพัฒนาแบรนด์คือต้องเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า และโฟกัสในทุกรายละเอียดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ออกมาดีที่สุด โดยยึดหลัก 4 ประการใหญ่ๆ คือ 1. ความปลอดภัย 2. ประสิทธิผล 3. คุณภาพ และ 4. ความบริสุทธิ์ของตัวผลิตภัณฑ์ จนได้ออกมาเป็นแบรนด์เอสท็อกซ์อย่างในปัจจุบัน

ล่าสุดเอสท็อกซ์ยังได้สร้างความคึกคักให้กับตลาดอีกครั้งด้วยการเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ อย่าง “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” นักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทย เพื่อสร้างการจดจำและตอกย้ำความเป็นยูนิเซ็กซ์ (Unisex) ของแบรนด์

“เราวางโพสิชันนิ่งของแบรนด์ให้เป็นยูนิเซ็กซ์ สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง จึงเลือกคุณบอยมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เป็นการกระตุ้นให้คนหันมาดูแลตัวเองด้วย”

สำหรับภาพรวมของตลาดความงามนั้น กสิกิจมองว่าจะเติบโตกว่านี้อีกมาก ผู้บริโภคจะหันมาดูแลตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย เดิมทีฐานลูกค้าของเอสท็อกซ์อยู่ในกลุ่มอายุระหว่าง 22-45 ปี แต่ที่ผ่านมาพบว่ามีลูกค้าอายุน้อยมาใช้ผลิตภัณฑ์มากขึ้น เริ่มตั้งแต่อายุ 16-18 ปี นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าอายุมากกว่า 50 ปีก็เริ่มเข้ามามากขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักยังคงมีการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

โดยปัจจุบันเอสท็อกซ์ถือเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ในเรื่องของโบท็อกซ์ในเมืองไทย ด้วยจำนวนคลินิกด้านความงามกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเอสท็อกซ์ในคลินิก อีกทั้งการเปิดตัวพรีเซนเตอร์จะเป็นตัวช่วยสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ได้อย่างเด่นชัดมากขึ้น และทำให้ยอดขายโตทะลุเป้าที่วางไว้ได้ไม่ยากนัก

ด้านแผนการในอนาคต หลังจากได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยาจากทั้งในไทย เกาหลี จีน และสหภาพยุโรปแล้ว กสิกิจตั้งเป้าขยายตลาดนำผลิตภัณฑ์แบรนด์เอสท็อกซ์ส่งออกขายใน 28 ประเทศทั่วโลกในระยะเวลาอันใกล้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมาอีกอย่างแน่นอน เพราะกสิกิจเชื่อว่า “ความต้องการของลูกค้ามีอยู่มากมายในท้องตลาด ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถตอบโจทย์เขาได้หรือไม่”.

ใส่ความเห็น