วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
Home > Cover Story > เมเจอร์เดินหน้ากินรวบ งัดโรงหนังเด็กขยายฐาน

เมเจอร์เดินหน้ากินรวบ งัดโรงหนังเด็กขยายฐาน

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เดินหน้าเร่งปูพรมสาขาอย่างต่อเนื่อง และงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบตามแผนการก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ตั้งเป้าปี 2020 หรือภายในปี พ.ศ. 2563 จะขยายเครือข่ายโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ครบ 1,000 โรง และเจาะยึดตลาดทุกกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่เด็ก 5 ขวบจนถึงวัยเกษียณ

ที่สำคัญ คือ การสร้างเมืองหนังและศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลกที่ดีที่สุด ทั้งรูปโฉม นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านระบบการฉายภาพยนตร์

แน่นอนว่า หากเปรียบเทียบคู่แข่งอย่าง “เอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น” ของกลุ่มตระกูลทองร่มโพธิ์แล้ว การดำเนินธุรกิจของ “วิชา พูลวรลักษณ์” เน้นการหาพันธมิตรเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เพราะสามารถขยายฐานลูกค้าแบบ “ดับเบิ้ล” และ “วิน-วิน” ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะการดึงบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาร่วมเป็นเนมสปอนเซอร์ สร้างความแตกต่างของตัวโรงภาพยนตร์ เน้นความหรูหราและภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิออน กลุ่มกรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารออมสิน เอไอเอส กลุ่มทรู

อย่างสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งเมเจอร์ฯ ดึงเข้ามาเป็นเนมสปอนเซอร์ เปิดโรงภาพยนตร์ Bangkok Airways Blue Ribbon Screen ที่ขึ้นชื่อเป็นโรงหนังติดอันดับ 1 ใน 5 โรงหนังที่แพงที่สุดในประเทศ ราคาที่นั่งคู่ละ 2,000 บาท ชูคอนเซ็ปต์ “Revolve Living Concept” บริการพิเศษแบบส่วนตัว ในห้องรับรองบางกอกแอร์เวย์สบลูริบบอนเลาจน์ ระหว่างรอชมภาพยนตร์ฉาย เหมือนการรอขึ้นเครื่อง

บริการอาหารว่างและเครื่องดื่ม พร้อมบริการนวด 15 นาทีจาก VIE MOVIE SPA สปาในโรงภาพยนตร์แห่งแรกในเมืองไทย ที่นั่งหรูหรา สไตล์บูทีค เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับซูเปอร์พรีเมียม

การจับมือกับพันธมิตรส่งผลดีมาตลอดช่วง 2-3 ปี และช่วยให้แผนการสร้างเมืองหนังสามารถสยายปีกครอบคลุมทุกความบันเทิง ทุกเซกเมนต์ และกินรวบทุกกลุ่มลูกค้า

เฉพาะช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมเจอร์ฯ ดึงบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เข้ามาร่วมสร้างคอนเซ็ปต์ “โรงภาพยนตร์แห่งอนาคต” (Theater of the Future) โดยเปิดตัวนวัตกรรมความบันเทิงใหม่ล่าสุด “ซัมซุง แอลอีดี ซีนีม่า” (Samsung LED Cinema) ครั้งแรกในประเทศไทยและแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในโรงภาพยนตร์ “ซัมซุง ซีนีม่า แอลอีดี” รองรับความละเอียดของภาพระดับ 4K และมีฟีเจอร์ High Dynamic Range หรือ HDR ที่ให้ความคมชัดมากกว่าการฉายภาพยนตร์ในรูปแบบปกติที่ใช้เครื่องโปรเจกเตอร์ฉายบนจอเงิน

นอกจากนี้ ระบบแสงสว่างที่ออกจากจอภาพยังทำให้โรงภาพยนตร์สามารถใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่แค่การฉายภาพยนตร์ เช่น การจัดงานสัมมนาแบบเปิดไฟในโรงภาพยนตร์ที่สามารถเปิดสว่างได้เต็มที่ โดยไม่ลดทอนความคมชัดบนจอภาพยนตร์ หรือจะจัดเป็นห้องสำหรับการติวเพื่อสอบแข่งขันสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใช้แสงสว่างภายในโรงภาพยนตร์ สามารถปรับใช้เป็นคอนเวนชันเซ็นเตอร์ รองรับการจัดกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบต่างๆ ที่โรงภาพยนตร์ทั่วไปไม่สามารถทำได้

เช่น การเดินแบบแฟชั่นโชว์ การจัดเชทติ้งเป็นสตูดิโอถ่ายรายการภายในโรงภาพยนตร์ ถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตและกีฬาต่างๆ หรือจัดการแข่งขันอี-สปอร์ต ที่ถ่ายทอดขึ้นบนหน้าจอได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องแสงและรองรับฟอร์แมตภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดในรูปแบบใหม่ๆ เช่น HDR 4K

ล่าสุด เมเจอร์ฯ งัดกลยุทธ์เปิดโรงภาพยนตร์เด็กแห่งแรกในเมืองไทยที่โรงภาพยนตร์เมกา ซีนีเพล็กซ์ บางนา ซึ่งเป็นย่านที่มีที่พักอาศัย หมู่บ้านมากกว่า 290 แห่ง และสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนต้น โรงเรียนนานาชาติ อีกกว่า 31 แห่ง โดยใช้งบลงทุน 10 ล้านบาท และดึงบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) ในเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก “โคโดโม” ร่วมสนับสนุนเป็นเนมมิ่งสปอนเซอร์ภายใต้ชื่อ “KODOMO Kids Cinema”

นิธิ พัฒนภักดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสื่อโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า KODOMO Kids Cinema จะให้บริการฉายภาพยนตร์ที่เหมาะกับกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ที่มีลูกอายุ 5-12 ปี โดยเน้นจุดขายการสร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ และความสนุกสนานไปพร้อมๆ กันแบบเฉพาะกลุ่มอย่างเป็นส่วนตัว

ภายในโรงภาพยนตร์จะมีบริการเครื่องเล่น Playland บ่อลูกบอลหลากสีสัน และสไลเดอร์ ให้เด็กๆ เล่นก่อนชมภาพยนตร์ มีเก้าอี้สีสันแนวลูกกวาด จำนวน 84 ที่นั่ง รองรับความต้องการของกลุ่มพ่อแม่รุ่นใหม่ รวมทั้งสามารถใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆ อีเวนต์ต่างๆ เช่น กิจกรรมประกวดร้องเพลง เต้น วาดภาพ แฟชั่นโชว์

สำหรับราคาบัตรชมภาพยนตร์โรงภาพยนตร์ KODOMO Kids Cinema เริ่มต้นที่ 200 บาท สำหรับเก้าอี้ปกติ เก้าอี้ฮันนีมูน 220 บาท Single Sofa Bed 250 บาท และ Double Sofa Bed คู่ละ 500 บาท ซึ่งเมเจอร์เตรียมภาพยนตร์เด็กในปีนี้ประมาณ 20 เรื่อง เช่น Sherlock Gnomes, Jurassic World : Fallen Kingdom, Incredibles 2, Ant Man and The Wasp, Teen Titans GO! to the Movies, Doraemon The Movie 2018, Cinderella, The Grinch, Bernie The Dolphin, Ralph Breaks the Internet : Wreck-It Ralph 2

“การเปิดโรงภาพยนตร์สำหรับเด็กถือเป็นการโฟกัสทำการตลาดแบบ Segmentation กลุ่มเด็กและครอบครัวให้ชัดเจนและจริงจังมากขึ้น ดูจากยอดสมาชิกบัตรเอ็มเจนมีฐานทั้งหมดมากกว่า 4 ล้านราย แบ่งเป็นกลุ่มนักเรียน วัยรุ่น 50% และกลุ่มคนทำงาน ผู้ใหญ่ 30% ที่เหลืออีก 20% เป็นกลุ่มเด็ก กลุ่มเกษียณ ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่เมเจอร์ฯ ต้องการขยายตัวเลขมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดสมาชิก M GEN Kids จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2.5 แสนราย” นิธิกล่าว

ขณะเดียวกันมีแผนเพิ่มบริการใหม่รองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้หญิงรุ่นใหม่ เช่น การออกบัตรสิทธิประโยชน์สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ห้องแต่งหน้า ที่จอดรถ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่

“เราพยายามเพิ่มมูลค่าให้โรงหนังเป็นมากกว่าโรงหนัง สามารถจัดอีเวนต์ต่างๆ เสริมบริการพิเศษ เช่น เปลี่ยนเก้าอี้ด้านหน้าโรงภาพยนตร์เป็นโซฟา เพิ่มความสะดวกสบาย สามารถนอนชมภาพยนตร์ในราคาเท่าเดิม โดยเริ่มทดลองสาขาแรกที่พารากอนซีนีเพล็กซ์ และได้ผลตอบรับที่ดี จึงมีแผนขยายต่อไปยังสาขาอื่นๆ จากเดิมที่ที่นั่งหน้าสุดจะไม่ค่อยได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้า”

ต้องยอมรับว่า ปีนี้เมเจอร์งัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบสนองไลฟ์สไตล์ของทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการเติบโต ทั้งกระตุ้นให้ฐานลูกค้าเดิมเข้ามาใช้บริการถี่ขึ้นผ่านกลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย และการขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะปีนี้ถือเป็นปีที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เนื่องจากมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เข้าฉายตลอดปี ซึ่งเฉพาะ Avenger ที่เข้าฉายในเครือเมเจอร์สามารถสร้างรายได้มากกว่า 400 ล้านบาทแล้ว และยังมีหนังอีกหลายเรื่องที่จ่อคิวฉาย ทั้งหนังไทยและต่างประเทศ

ทั้งนี้ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ประเมินภาพรวมธุรกิจครึ่งแรกของปี 2561 ว่า บริษัทมีภาพยนตร์ที่สามารถสร้างรายได้ดีเข้าฉายรวม 8 เรื่อง เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ 6 เรื่อง ภาพยนตร์ไทย 1 เรื่อง และแอนิเมชั่น 1 เรื่อง รวมถึงมีการเปิดสาขาใหม่ 8 สาขา มีจำนวนโรงภาพยนตร์ 18 โรง เน้นกระจายออกไปยังต่างจังหวัด ตามการขยายตัวของห้างสรรพสินค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้งบิ๊กซีและโลตัสลงไปในระดับอำเภอและพื้นที่หัวเมืองใหญ่ๆ

ส่วนครึ่งปีหลัง บริษัทจะยังคงเน้นการเปิดสาขาโรงภาพยนตร์ ทั้งระดับจังหวัด หัวเมืองใหญ่-เมืองรอง และรุกเข้าสู่ระดับอำเภออีก 30 สาขา จำนวน 67 โรงภาพยนตร์ โดยขยายสาขาขนาดเล็ก ประมาณ 1-3 โรง ไปกับไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดระดับอำเภอ ขณะที่สาขาในต่างประเทศมีแผนเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาในกัมพูชา 1 สาขาจำนวน 8 โรง และในลาว 1 สาขาจำนวน 7 โรง

จากปัจจุบัน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มีทั้งสิ้น 139 สาขา รวม 728 โรง โดยปี 2561 มีแผนเปิดเพิ่มทั้งหมด 40 สาขา จำนวน 100 โรงภาพยนตร์

ด้านเป้าหมายรายได้รวมในปี 2561 คาดว่าจะเติบโต 10% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายรวม 330 เรื่อง แบ่งเป็น ฮอลลีวูด 195 เรื่อง เอเชีย 80 เรื่อง และภาพยนตร์ไทย 55 เรื่อง โดยภาพยนตร์ที่คาดว่าจะสร้างรายได้ยังคงเป็นในกลุ่มฮอลลีวูด เพราะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าฉายทุกเดือน และเน้นควบคุมค่าใช้จ่ายในระบบ “Back Office” ทั้งการขายตั๋วผ่าน E-Ticket บริหารจัดการพนักงานประจำสาขา การปรับราคาตั๋วชมภาพยนตร์ตามความเหมาะสมของภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ทำเลที่ตั้ง การจัดโปรโมชัน กิจกรรมต่างๆ และการขายแพ็กเกจป๊อปคอร์น

เมื่อเมเจอร์ฯ เดินเกมครบเครื่อง ทั้งยึดตลาดในเมืองและเจาะแนวรบต่างจังหวัด คนในวงการจึงเริ่มจับตาคู่แข่งอีกฝ่ายกับเกมโต้กลับ เพราะ “เอสเอฟ” คงไม่อยู่เฉยและยอมเสียส่วนแบ่งตลาดต่างจังหวัด ซึ่งเป็นฐานรายได้สำคัญแน่

ใส่ความเห็น