วันพฤหัสบดี, เมษายน 25, 2024
Home > Cover Story > บ้านปูผลประกอบการดี มุ่งเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร

บ้านปูผลประกอบการดี มุ่งเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร

ข่าวคราวกรณีการคัดค้าน “โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา” ของกลุ่มต่อต้านที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ยุติโครงการ โดยชุมนุมอยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงานสหประชาชาติ หรือ UN เพิ่งได้ข้อยุติเมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยการลงนามในบันทึกข้อตกลงระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและกลุ่มเครือข่ายฯ ในการถอนการศึกษา EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่-เทพา

ขณะที่บริษัทเอกชนที่มีความชำนาญด้านธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าจากถ่านหินอย่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เพิ่งแถลงข่าวเปิดเผยตัวเลขผลประกอบการประจำปี 2560 ว่าบริษัท บ้านปู มีรายได้จากการขายรวม 2,877 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 97,640 ล้านบาท ถือเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากถึง 27 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อีกทั้งบ้านปูฯ ยังมีกำไรสุทธิรวม 234 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,942 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนถึง 4 เท่าตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาถ่านหินที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลมาจากปริมาณการผลิตถ่านหินที่จำกัดของประเทศส่งออกหลัก และปริมาณการขายไฟฟ้าที่สม่ำเสมอของธุรกิจไฟฟ้า

ตัวเลขรายได้และกำไรไม่ได้มีเพียงเฉพาะบริษัทบ้านปูใหญ่เท่านั้น ขณะที่บริษัทลูกอย่าง บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากทั้งพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป (Conventional Power Generation) และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Generation) ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีบริษัทกระจายอยู่ในต่างประเทศอย่าง สปป.ลาว จีน และญี่ปุ่น ก็สร้างรายได้และทำกำไรสูงไม่ต่างกันมากนัก

โดยบ้านปู เพาเวอร์ มีรายได้รวม 6,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิรวม 4,155 ล้านบาท ซึ่งหัวใจสำคัญของรายได้มาจากโรงไฟฟ้าหงสาที่สามารถจ่ายไฟได้แล้วกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และมีส่วนแบ่งกำไร 3,682 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5 เปอร์เซ็นต์

ในแง่มุมของตัวเลขรายได้จากทั้งสองบริษัทของบ้านปู หากจะมองว่าบ้านปู นับเป็นบริษัทเอกชนที่มีความชำนาญเรื่องธุรกิจพลังงานและสามารถสร้างรายได้ทำกำไรได้สูง รวมไปถึงการยืนหยัดบนเวทีโลกแถวหน้าได้ก็คงไม่ผิดนัก

นั่นเพราะบ้านปูดูจะอุดมไปด้วยความพร้อมสรรพในเรื่องของเงินลงทุน และความรู้ความชำนาญในเรื่องเทคโนโลยีด้านพลังงาน ที่ดึงศักยภาพมาใช้ได้อย่างดี นี่เองที่ทำให้สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ประกาศว่า บ้านปูจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยปัจจัยหนุนจากธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และธุรกิจปลายน้ำ

ซึ่งธุรกิจถ่านหินดูจะเป็นพระเอกหลัก เป็นธุรกิจต้นน้ำของบ้านปูที่สร้างรายได้ และเห็นอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีกระแสการรณรงค์ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเพราะผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพที่จะตามมา

กระนั้นราคาขายของถ่านหินเฉลี่ยของบ้านปูยังสูงขึ้นตลอดทั้งปี ด้วยความต้องการที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดจีน ที่แม้ว่ารัฐบาลจีนมีความพยายามที่จะรณรงค์เชิญชวนให้หันไปใช้พลังงานธรรมชาติ แต่ยังไม่ค่อยเห็นผลเท่าใดนัก รวมไปถึงการขนส่งในเมืองที่มีข้อจำกัดมากมาย ทำให้ราคาขายของถ่านหินยังอยู่ในอัตราสูง

ขณะที่ธุรกิจกลางน้ำของบ้านปู คือการที่บริษัทฯ เสริมความแข็งแกร่งด้วยการจัดซื้อน้ำมันดีเซลที่ใช้ในเหมืองของบริษัทฯ ในอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรด้วยต้นทุนที่ต่ำลง รวมไปถึงการจัดตั้งบริษัทเทรดดิ้งร่วมกับรัฐวิสาหกิจของจีนเพื่อขนส่งถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซียและออสเตรเลียผ่านท่าเรือขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของจีนเพื่อจำหน่ายในบริเวณใกล้เคียง

และธุรกิจปลายน้ำที่นับว่ามีบทบาทสำคัญในการเสริมให้บ้านปูเติบโตอย่างมั่นคงมากขึ้น คือ โรงไฟฟ้าหงสาและบีแอลซีพี ที่สามารถผลิตกระแสไฟขายได้แล้ว และบ้านปู อินฟิเนอร์จี บริษัทน้องใหม่ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว ในฐานะผู้ให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร

ท่ามกลางกระแสการต่อต้านพลังงานจากถ่านหินที่ไม่ได้มีแค่ในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงผลกระทบและหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดมากขึ้น ขณะที่หมุดหมายสำคัญของบ้านปูแม้ว่าจะมีถ่านหินเป็นพระเอกหลัก หากแต่ก็มีเป้าหมายในอนาคตว่าจะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น

โดย สุธี สุขเรือน ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บ้านปู เพาเวอร์ มองหาโอกาสในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานหลากหลายรูปแบบในประเทศที่บริษัทฯ มีธุรกิจอยู่ และประเทศที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม โดยมีเป้าหมายขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้มากกว่า 4,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า ภายในปี 2568 โดยเฉพาะสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ต้องไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์”

นอกจากเป้าหมายกำลังการผลิตกระแสไฟแล้ว ปีนี้บ้านปูยังตั้งเป้าคาดการณ์รายได้ว่าในปี 2561 จะมีรายได้สูงกว่าปี 2560 เนื่องจากการคาดการณ์ปริมาณการขายถ่านหินอยู่ที่ 44.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 41.3 ล้านตัน และราคาขายถ่านหินที่สูงกว่าปีก่อนที่ 71.10 เหรียญสหรัฐต่อตัน

เป้าประสงค์ของบ้านปูในหลากหลายมิตินั้นนับเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย หากแต่สุธี สุขเรือน อธิบายว่า “ความแข็งแกร่งของทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในกลุ่มบ้านปูฯ มาอย่างยาวนาน ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้า ความแข็งแกร่งทางการเงิน ความสามารถในการจัดหาแหล่งทุน และความได้เปรียบจากการมีธุรกิจที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาผนวกเข้าด้วยกัน โดยมีวัฒนธรรมองค์กรของกลุ่มบ้านปูฯ ที่มุ่งเน้นค่านิยม 3 ประการ คือ คิดสร้างสรรค์ ทำด้วยใจรัก และมุ่งเน้นเพื่อความสำเร็จ เป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อผลตอบแทนที่ยั่งยืนขององค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย”

นอกเหนือไปจากผลประกอบการของกลุ่มบ้านปูฯ ที่เปิดเผยออกมาให้ได้รับรู้กันแล้ว แผนการลงทุนที่บ้านปูกำลังเตรียมดำเนินการก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อบ้านปูจัดสรรงบลงทุนเพิ่มเติมกว่า 182 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจถ่านหินจำนวน 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจแก๊ส 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธุรกิจไฟฟ้า 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทน้องใหม่อย่าง บ้านปู อินฟิเนอร์จี จำนวน 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระนั้นยังเตรียมการออกหุ้นกู้ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี เพื่อนำมาทดแทนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดในปีนี้อีกด้วย

ขณะที่คดีความกรณีโรงไฟฟ้าหงสาที่ศาลฎีกาจะมีการพิจารณาในวันที่ 6 มีนาคมนี้นั้น ผู้บริหารบ้านปูยังไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้และไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของบ้านปู ทั้งในเรื่องของรายได้ที่คาดการณ์เอาไว้รวมไปถึงกำลังการผลิตไฟ ที่ตั้งไว้ 4,300 เมกะวัตต์เทียบเท่า คงทำให้สำเร็จไม่ยากนักเมื่อเสถียรภาพความมั่นคงที่บ้านปูมีอยู่ในมือ กระนั้นกระแสความเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานที่เทรนด์อาจจะหมุนไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต อาจจะทำให้บ้านปูต้องเบนเข็มจากพระเอกอย่างถ่านหินที่กินเปอร์เซ็นต์สูงอยู่ในขณะนี้ สู่พลังงานสะอาด ก็เป็นเรื่องน่าที่จับตามองอยู่ไม่น้อย

ใส่ความเห็น