Home > Life (Page 20)

เติมผงคอลลาเจนในอาหารดีไหม?

Column: Well – Being ปัจจุบันคุณอาจรู้ถึงความแตกต่างระหว่างผงโปรตีนกับชาเขียว และคุณอาจสามารถบอกความแตกต่างระหว่างน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันอะโวคาโด ในยุคของการเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ชื่อว่าดีและมีประโยชน์ให้อยู่ในรูปของ “ผง” นั้น คุณคงเคยรับรู้เรื่องราวของผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งในตลาดเวลานี้ นั่นคือ ผงคอลลาเจน ซึ่งคุณคงคุ้นเคยว่าเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แต่บรรดาคนมีชื่อเสียงและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเพื่อสุขภาพกำลังสนับสนุนเต็มที่ให้มีการกินเข้าสู่ร่างกายด้วย และคุณอาจเคยเห็นเพื่อนร่วมงานตักผงคอลลาเจนผสมในกาแฟหรือสมูทตี้ด้วยซ้ำ คอลลาเจนคืออะไร นิตยสาร Shape รายงานว่า นพ.โจเอล ชเลซิงเกอร์ แพทย์โรคผิวหนังแห่งรัฐเนบราสกากล่าวว่า คอลลาเจนได้ชื่อว่าเป็นโปรตีนมหัศจรรย์ที่ช่วยให้ผิวคงสภาพเต่งตึงและเรียบลื่น ทั้งยังช่วยให้ข้อต่อแข็งแรงด้วย คุณจะพบโปรตีนตัวนี้ได้ตามธรรมชาติในกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และกระดูก ในร่างกายของเรา ซึ่งมีปริมาณคอลลาเจนคิดเป็นร้อยละ 25 ของมวลร่างกายโดยรวม โดยเหตุที่ร่างกายชะลอการสร้างคอลลาเจน ซึ่งชเลซิงเกอร์ให้ข้อมูลว่า การชะลอนี้อยู่ที่อัตราร้อยละ 1 ต่อปี โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 20 ปี ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นมาเยือน และข้อต่ออาจไม่ยืดหยุ่นเหมือนเคย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีผู้คนมากมายพยายามเพิ่มปริมาณคอลลาเจนในร่างกาย ด้วยการหันไปหาแหล่งคอลลาเจนจากภายนอก เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือครีม ซึ่งได้คอลลาเจนจากวัว ปลา ไก่ และสัตว์ชนิดอื่นๆ คอลลาเจนกินได้ให้ประโยชน์อะไรบ้าง “โดยเหตุที่คอลลาเจนในพืชและสัตว์ ไม่เหมือนคอลลาเจนที่พบในร่างกายของเราอย่างแน่นอน แต่มันได้บ่งชี้ว่า ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผิวหนังได้เมื่อผสมผสานกับส่วนประกอบเพื่อความอ่อนเยาว์ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ” ชเลซิงเกอร์อธิบาย “ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทคอลลาเจน เครื่องดื่ม และผงต่างๆ

Read More

หนทางบรรเทาความวิตกกังวลจากโควิด-19

Column: Well – Being ณ เวลานี้ คนทั่วโลกล้วนตกอยู่ในภาวะ “ลมหายใจเข้า-ออกเป็นโควิด-19” โรคอุบัติใหม่จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่มีจุดเริ่มต้นเมื่อปลายปี 2019 ที่ประเทศจีน และแพร่ระบาดลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็นภาวะ pandemic “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประชากรโลกต่างอยู่ในภาวะเสี่ยง” ดร.เดวิด เอช. โรสมาริน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และผู้ก่อตั้งศูนย์เพื่อโรควิตกกังวล ให้ความเห็น “คนที่เป็นโรควิตกกังวลอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีจำนวนมากด้วย ดูเหมือนจะอยู่ในภาวะวิตกกังวลนั้นรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และคนที่ไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อนก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากอาการป่วยนี้ไปด้วย” นิตยสาร Prevention รายงานว่า ท่ามกลางการระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า มียุทธวิธีมากมายที่ช่วยให้คุณบรรเทาความกลัวลงได้ ดังที่นักจิตวิทยาและนักจิตบำบัดหลายคนแนะนำให้ปฏิบัติตามเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลจากโควิด-19 ที่ดำเนินอยู่ในเวลานี้ ได้แก่ ดูแลตัวเองให้ดี ระหว่างเผชิญภาวะวิกฤต เป็นไปได้ที่คุณอาจลืมดูแลตัวเองในระหว่างจดจ่อกับความคิดเชิงลบ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญลำดับแรก คือ คุณต้องแน่ใจว่าได้ดูแลตัวเองอย่างจริงจัง “นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์” พญ. เบธ ซัลซีโด ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของศูนย์รอสส์ และอดีตประธานสมาคมโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลแห่งอเมริกา ให้คำแนะนำ “ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อดูแลให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงทางกายภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อสุขภาพจิตของคุณ” เดินออกกำลังบ้าง แม้ว่าปัจจุบันศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ

Read More

เทคนิคลดอายุสมอง

Column: Well – Being สกีรีสอร์ตเป็นที่ที่จูดี ฟอร์ไดซ์ มีความสุข เธอสามารถเล่นสกีพร้อมกับชื่นชมทิวทัศน์ตามลาดเขาไปพร้อมๆ กัน แล้วสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปเต็มปอด “ขณะเล่นสกี ฉันคิดถึงการมีชีวิตและสุขสงบ เป็นความรู้สึกของความสำเร็จและอิสรภาพ และแสนจะสดชื่นที่ตัวเองยังแข็งแรง” ฟอร์ไดซ์ บรรยายความรู้สึกของเธอ ซึ่งเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะเริ่มเล่นสกีจริงจังขณะสูงอายุถึง 59 ปี หลังจากนั้น 12 ปี เธอก็ยังมีความสุขกับการเล่นสกีไปตามทางลาดเชิงเขา ฟอร์ไดซ์ กล่าวต่อไปว่า “ฉันรู้สึกอ่อนวัยลงกว่าเมื่อสิบปีก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งฉันคิดว่าเป็นการบรรลุความปรารถนาของตัวเองเป็นอย่างดี” นิตยสาร Prevention กล่าวว่า ผลการวิจัยสนับสนุนความเห็นของฟอร์ไดซ์ในแง่ทัศนคติเกี่ยวกับอายุที่มากขึ้นส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ถ้าคุณคิดว่า คุณแก่เกินกว่าจะเล่นสกีหรือกลับเข้าโรงเรียนอีก คุณจะไม่มีวันได้ทำกิจกรรมนั้นเป็นอันขาด แต่การขีดเส้นกิจกรรมทางกายภาพหรือความคิดบางอย่างก็ไม่ช่วยปกป้องคุณได้ การยับยั้งยังเป็นการเร่งความชราด้วยซ้ำ “จากประวัติการวิจัยอันยาวนานได้ชี้แนะว่า ถ้าคุณได้จดจ่อทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น” ดร. เอียน เอ็ม. แม็คโดนัฟ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแอละแบมา กล่าว และเมื่อไม่นานมานี้ ผลการวิจัยยังยืนยันว่า คนที่ตกเป็นข่าวว่ามีธุระยุ่งมากที่สุด มีแนวโน้มเป็นคนสง่างามที่สุด หลักแหลมที่สุด และมีความจำดีที่สุดด้วย “แต่กิจกรรมที่จะช่วยเรื่องความจำได้มากที่สุด ควรมีความท้าทายหรือน่าตื่นเต้น

Read More

อาหารแก้ท้องผูก

Column: Well – Being อาการท้องผูกหรือภาวะช่องท้องขาดการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ก้อนอุจจาระไม่สามารถเคลื่อนตัวหรือขับถ่ายออกมา เป็นภาวะที่เลวร้ายยิ่ง และอาจมีสาเหตุหลากหลายแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปด้วย แน่นอนว่ามีแทคติกที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้คุณสามารถทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของก้อนอุจจาระและขับถ่าย รวมทั้งการกินยารักษา แต่ถ้าคุณคิดว่าอาการท้องผูกของคุณไม่ได้มาจากปัญหาสุขภาพที่ซ่อนเร้น และต้องการแก้ปัญหาด้วยตัวคุณเอง ทั้งแพทย์และนักกำหนดอาหารต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันในนิตยสาร Prevention ว่า การกินอาหารอย่างถูกต้องจะช่วยกระตุ้นระบบทางเดินอาหารของคุณได้ “วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาคือ ทำจากภายในออกมา” ดร.แอชคัน ฟาร์ฮาดี แพทย์โรคทางเดินอาหาร และผู้อำนวยการโครงการโรคทางเดินอาหารของเมโมเรียล แคร์ เมดิคอล กรุ๊ป ที่เฟาน์เทน วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าว ปกติแล้วคุณต้องหาอาหารเส้นใยสูงเพื่อช่วยเพิ่มขนาดของก้อนอุจจาระ “จะง่ายกว่ากับการทำให้บางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ขึ้น เคลื่อนตัวผ่านลำไส้ใหญ่ออกมา” ดร. ฟาร์ฮาดีอธิบาย (อาหารบางชนิดมีสารเฉพาะตัวที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวในช่องท้องด้วยซ้ำ) ดังนั้น ถ้าธรรมชาติไม่ทำงานตามปกติ และคุณต้องการลองแก้ปัญหาด้วยวิธีธรรมชาติก่อน ให้หันมากินอาหารที่แนะนำต่อไปนี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องผูก พรุน พรุนอบแห้งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในแง่ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกด้วยเหตุผลว่า “พรุนเป็นแหล่งเส้นใยที่ดี” เจสสิกา คอร์ดิง ผู้เขียนหนังสือ The Little Book of Game – Changers กล่าว พรุนยังมีสาร

Read More

กักตัว 14 วัน หากิจกรรมอะไรทำดี

ขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ในหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤต ภายใต้สถานการณ์วิกฤตนี้เองที่เป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพการรับมือของภาครัฐและประชาชนในประเทศนั้นๆ นอกจากนี้ ยังเป็นบททดสอบว่าประชาชนที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะในกรณี “ผีน้อย” คำเรียกกลุ่มผู้หลบหนีเข้าประเทศเกาหลีเพื่อไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย และกำลังถูกส่งตัวกลับมายังประเทศบ้านเกิด แต่กลับเพิกเฉยต่อสำนึกที่ควรมีต่อผู้คนในสังคม ช่วงเวลากว่าผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัส Covid-19 จะแสดงอาการคือ 14 วัน เป็นเหตุให้สาธารณสุขของไทยแนะนำว่า ผู้ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงต้องกักตัวเองอยู่แต่ในบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในกรณีที่ยังไม่แสดงอาการ หลายคนอาจรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อเห็นจำนวนวันที่ต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านตลอดระยะเวลา 14 วัน ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะหากิจกรรมอะไรดี นอกจากกินและนอน ผู้จัดการ 360 องศา ขอแนะนำกิจกรรมสร้างสรรค์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจในช่วงเวลาวิกฤตนี้ 14 วันของผู้รับผิดชอบต่อสังคม 1. อ่านหนังสือ เริ่มด้วยกิจกรรมที่ง่ายที่สุดและไม่ต้องเหนื่อยแรง แต่ยังได้ทั้งความสนุก เพลิดเพลิน สาระ ความรู้ หาหนังสือสักกอง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเก่า หนังสือใหม่ กองดองที่ซื้อสะสมไว้จากงานสัปดาห์หนังสือ งานมหกรรมหนังสือ ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ให้เวลากับตัวเองจัดการกับหนังสือเหล่านี้ ไม่แน่ว่า ช่วงเวลาที่กักตัวเองและอ่านหนังสือทั้งหมดที่มี คุณอาจจะกลายเป็นนักรีวิวหนังสือหน้าใหม่เลยก็ได้ 2. ทำความสะอาดและจัดระเบียบบ้าน หลายคนมักมีข้ออ้างในการปล่อยปละละเลยให้บ้านรกว่า “ไม่มีเวลา” “กลับมาจากทำงานอยากพัก” โอกาสมาแล้วค่ะ เวลา 14 วันเหลือเฟือ ใช้เวลานี้เคลียร์ทีละห้อง

Read More

อูย… ริดสีดวงทวารเล่นงาน?

Column: Well – Being คนส่วนใหญ่คงเคยได้ยินเกี่ยวกับริดสีดวงทวารกันมาบ้างแล้ว สถาบันแห่งชาติว่าด้วยโรคเบาหวาน โรคทางเดินอาหาร และโรคไต (NIDDK) แห่งสหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า ชาวอเมริกันทุก 1 ใน 20 คนได้รับผลกระทบจากริดสีดวงทวาร และประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้เป็นผู้ใหญ่อายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ถ้าคุณไม่เคยเป็นริดสีดวงทวาร คงเป็นเรื่องยากที่จะบรรยายให้รู้ซึ้งว่ามันทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง นิตยสาร Prevention แนะนำให้ลองมาทำความรู้จักริดสีดวงทวารกันดีกว่า หอสมุดแห่งชาติสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความโรคริดสีดวงทวารว่า เป็นอาการหลอดเลือดรอบทวารหนักหรือลำไส้ตรงส่วนล่างบวมและอักเสบ “ริดสีดวงทวารเป็นกายวิภาคปกติ เหมือนการที่เรามีมือทั้งสองข้าง” ดร. เจฟเฟอรี เนลสัน ศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมแห่งศูนย์โรคลำไส้ใหญ่และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังประจำศูนย์การแพทย์เมอร์ซีแห่งบัลติมอร์ กล่าว “ในร่างกายของทุกคนต่างก็มีเนื้อเยื่อริดสีดวงทวาร” NIDDK เปิดเผยว่า ริดสีดวงทวารมี 2 ประเภท ได้แก่ ริดสีดวงทวารภายใน ที่เกิดขึ้นเหนือเส้นสมมุติ (dentate line) ของทวารหนักและลำไส้ตรงส่วนล่าง และริดสีดวงทวารภายนอก ที่เกิดขึ้นใต้เส้นสมมุติ (dentate line) ลงมาและอยู่ลึกเข้าไปใต้ผิวหนังรอบทวารหนัก สาเหตุ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ทำไมบางคนจึงต้องทุกข์ทรมานกับภาวะริดสีดวงทวาร ขณะที่คนอื่นกลับไม่เป็น ดร. เนลสัน

Read More

ขันลงหินบ้านบุ หัตถกรรมที่กำลังเลือนหาย

เสียงตีโลหะดังแว่วออกมาเป็นจังหวะจากอาคารไม้หลังหนึ่งที่ฝังตัวอยู่ใน “ชุมชนบ้านบุ” ชุมชนเล็กๆ ริมคลองบางกอกน้อย ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เสียงที่เข้ามากระทบโสตประสาทยิ่งแจ่มชัดและหนักหน่วงมากขึ้น พร้อมกับไอร้อนระอุที่ลอยมากระทบกับผิวกาย ภาพของคุณลุงคุณป้าที่อายุเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 60 ปี กำลังขะมักเขม้นกับชิ้นงานที่อยู่ตรงหน้า เพื่อรังสรรค์ “ขันลงหิน” งานหัตถกรรมที่งดงาม มีคุณค่า แต่นับวันจะหาผู้สานต่อได้ยากยิ่ง คือต้นกำเนิดของเสียงและความร้อนที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ การทำขันลงหินหรือขันบุคืออาชีพเก่าแก่ที่ทำกันในครัวเรือนมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คำว่า “บุ” คือการตีให้เข้ารูป ใช้กับงานโลหะ ซึ่งขันลงหินนี้นิยมนำมาใส่ข้าวสวยสำหรับใส่บาตรเพราะจะทำให้ข้าวมีกลิ่นหอม หรือใส่น้ำดื่มเพราะจะทำให้น้ำเย็นชื่นใจ จนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก จึงมีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้ พร้อมพกพาองค์ความรู้ในวิชาช่างบุลงหินติดตัวมาด้วย จนกลายมาเป็น “ชุมชนบ้านบุ” อย่างในปัจจุบัน อีกหนึ่งชุมชนที่มีงานหัตถกรรมอันเป็นมรดกสืบทอดกันมาในชุมชนมายาวนานมากกว่า 200 ปี ขันลงหินของชาวบ้านบุใช้กรรมวิธีผลิตแบบโราณ โดยใช้ทองสัมฤทธิ์ อันเป็นโลหะที่เกิดจากการหลอมทองแดง ดีบุก และเศษสัมฤทธิ์เข้าด้วยกันในเตาถ่านไม้ซากซึ่งให้ความร้อนสูง ก่อนที่จะเทโลหะผสมที่ได้ลงบน “ดินงัน” นำก้อนทองที่ได้มาเผาแล้วตีซ้ำจนได้รูปร่างเป็นภาชนะตามความต้องการ หรือที่เรียกว่าการบุนั่นเอง แต่งรูปทรงอีกครั้งบนไม้กลาง ย้ำเนื้อโลหะให้แน่นด้วยการ “ลาย” บนกะล่อน กลึงผิวด้านนอกซึ่งมีเขม่าจับจากการเผาบนแกน “ภมร” ตะไบขอบภาชนะ และต่อด้วยการขัดโดยการใช้หินในการขัดจนขึ้นเงา อันเป็นที่มาของคำว่า “ลงหิน” นั่นเอง ขั้นตอนการทำขันลงหินของชาวบ้านบุนั้น

Read More

วิธีง่ายๆ ป้องกันโรคกรดไหลย้อน

Column: Well – Being เราอาจเคยมีประสบการณ์แสบร้อนกลางอกกันมาบ้างแล้ว สาเหตุอาจเป็นเพราะกินพิซซ่าฉลองมากเกินไปในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ถ้าคุณต้องทุกข์ทรมานกับอาการที่ว่านี้สัปดาห์ละ 2 ครั้งหรือเกินกว่านั้น คุณอาจกลายเป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งเป็นสภาวะที่กล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างสุดของหลอดอาหารหย่อนยานเกินไป ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร จนทำให้เกิดความรู้สึกขมและเปรี้ยวแสบร้อนกลางอกในช่วงหลังมื้ออาหารอย่างที่เราคุ้นกันว่าเป็นอาการของกรดไหลย้อน ในระยะยาวภาวะนี้สามารถทำลายหลอดอาหาร นำไปสู่อาการแผลอักเสบ ก่อให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็น หรืออาจเกิดภาวะก่อนเป็นมะเร็งที่เรียกว่า มะเร็งหลอดอาหาร (Barrett’s Esophagus) วิธีป้องกันโรคกรดไหลย้อนดังนี้ หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้น ให้จำกัดปริมาณการกินอาหารที่เชื่อมโยงกับอาการกรดไหลย้อน เช่น อาหารที่เป็นกรด ไขมันสูง หรือมีรสเผ็ด ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม รวมทั้งอาหารอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อคุณ “แต่ละคนมีความไวต่ออาหารต่างกันไป” ดร.ออสติน เจียง แพทย์โรคทางเดินอาหารประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโธมัส เจฟเฟอร์สัน กล่าว เมื่อคุณเกิดอาการกรดไหลย้อน ให้ค่อย ๆ นึกย้อนว่าคุณกินอะไรเข้าไปบ้าง เพื่อระบุว่าอาหารชนิดไหนที่กินได้และชนิดไหนกินไม่ได้บ้าง ซอยย่อยอาหารให้เป็นมื้อเล็กลง การกินอาหารจนอิ่มเกินไป มีแนวโน้มทำให้กรดในกระเพาะอาหารถูกดันให้ไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร ดังนั้น ให้ซอยย่อยอาหารเป็นมื้อเล็กๆ และหยุดพักบ้างในระหว่างการกิน รวมทั้งเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อทำให้คุณกินช้าลง และให้กระเพาะอาหารมีเวลาย่อยบ้าง วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักแล้ว ผลการศึกษายังยืนยันว่า ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคกรดไหลย้อนด้วย อย่าล้มตัวนอนหลังกินอิ่ม หลังกินอาหารอิ่ม ให้ทิ้งเวลาสัก 3

Read More

อโรมา เหมียวเธอราพี บำบัดทั้งที บำบัดด้วยแมว

ท่ามกลางโลกที่พัฒนาและทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปด้วยความรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะประสบกับสภาวะความตึงเครียด ทั้งจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อาจฝ่าฟันความเครียดที่ประสบได้ อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกาย การบำบัดความเครียดจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้คนเลือกใช้ เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากสภาวการณ์ดังกล่าว การนวด การทำสปา เป็นตัวเลือกที่หลายคนให้ความนิยม นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายจิตใจแล้ว ยังทำให้ร่างกายได้รับการดูแลอีกทาง แต่ใครจะรู้ นอกจากการบำบัดจากมนุษย์ด้วยกันแล้ว สัตว์เลี้ยงสี่ขาหน้าขน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่จะทำให้มนุษย์พ้นไปจากสภาวะความเครียดได้เช่นกัน แม้สุนัขจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่หลายคนให้คำนิยามว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ และเป็นนักบำบัดความเครียดชั้นดี แต่ใครจะคาดคิดว่า แมวเหมียวสัตว์ที่มีความเป็นตัวเองสูงจะเป็นนักบำบัดความเครียดของคนได้ดีไม่แพ้กัน Purr Purr เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนในลำคอของแมวยามที่เจ้าเหมียวผ่อนคลายอารมณ์ และเสียง Purr นี่เองที่มีผลให้จิตใจของเหล่าทาสแมวได้หายเครียดได้เช่นกัน นพ. ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ให้ความเห็นเกี่ยวกับแมวบำบัดไว้ในเว็บไซต์ ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม ว่า การนำแมวมาช่วยในการบำบัด ดูเหมือนจะยิ่งไม่คุ้นหูเลย แต่มีการนำมาใช้ในการบำบัดเช่นกัน สามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูงมาก และยังเป็นสัตว์ที่มีจิตวิทยาสูงอีกด้วย รับรู้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของคนได้ดี รู้ว่าเจ้าของต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่ สามารถเตือนภัยแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติต่างๆ และกล่าวกันว่าสามารถเตือนภัยให้กับเจ้าของได้อีกด้วย แมวที่นำมาใช้บำบัดต้องคัดเลือกกันพอสมควร ควรเป็นแมวที่น่ารักขนสวย มีเสน่ห์ดึงดูดได้ดี เชื่อง เลี้ยงง่าย มีลักษณะนิสัยที่สงบไม่ตกใจง่าย ทนต่อสิ่งกระตุ้นที่ผิดแปลกได้ดีทั้งสิ่งที่มองเห็นและเสียงที่ได้ยิน แต่ยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาวิจัยมาแล้วหลายครั้งจนได้ข้อสรุปที่น่าพอใจของเหล่าทาสแมวว่า เสียงครางของแมวหรือเสียง Purr

Read More

10 ความเชื่อผิดๆ เรื่องลดความอ้วน

Column: Well – Being ลำพังการลดน้ำหนักตัวภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดนั้นถือว่ายากแสนสาหัสอยู่แล้ว แต่จะยิ่งเป็นที่วุ่นวายใจมากขึ้นไปอีกเมื่อคุณได้รับคำแนะนำประเภท “ทำอย่างนี้” และ “ทำอย่างนั้น” จากคนรอบตัว ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตหรือพูดคุยกับเพื่อนๆ ก็ยังถือว่ายากมากที่จะแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากเรื่องคิดฝันเอาเอง เพราะการลดน้ำหนักขึ้นกับความต้องการและเป้าหมายของแต่ละคนอย่างแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้การเริ่มต้นทำได้ง่ายขึ้นอีกหน่อย นิตยสาร Prevention ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความกระจ่างที่ถูกต้อง เป็นต้นว่า จริงๆ แล้ว อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุดของวันจริงหรือไม่ ต่อไปนี้เป็นความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วนที่คุณควรเลิกเชื่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้! ความเชื่อที่ 1 : กินไขมันทำให้อ้วน เจสสิกา คอร์ดิง ผู้เขียนหนังสือ The Little Book of Game – Changers กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ว่า ไขมันให้พลังงานต่อน้ำหนักหนึ่งกรัมสูงกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน อาจเป็นที่มาของความเชื่อผิดๆ ที่ว่า กินไขมันแล้วทำให้อ้วน แต่แท้จริงแล้ว ไขมันช่วยให้คุณอิ่มนานขึ้นมากกว่า ดร.คาโรลิน นิวเบอร์รี แพทย์โรคทางเดินอาหารยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าคุณกินไขมันมากเกินความต้องการของร่างกาย คุณจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน “แต่ไขมันเป็นองค์ประกอบสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ และการกินไขมันปริมาณที่สมควรเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ การรักษาความอบอุ่น และให้พลังงานแก่ร่างกาย” ความเชื่อที่

Read More