Home > Cover Story (Page 67)

จับตาแผนเปิดประเทศ ดึงท่องเที่ยวปลุกกำลังซื้อสุดฤทธิ์

ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเตรียมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในเดือนตุลาคม โดยออกมายอมรับว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย สถานการณ์จะหนักกว่านี้ สถานประกอบการปิด ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง ขณะที่รัฐบาลไม่มีเม็ดเงินช่วยเหลือประชาชนได้ทั้งหมด มิหนำซ้ำกำลังเจอวิกฤตรายได้ประเทศ การเก็บภาษีหลุดเป้าหมาย สาเหตุสำคัญมาจากแผนกระตุ้นกำลังภายในประเทศส่อแววล้มเหลว แม้มีการแจกเงินช่วยเหลือให้ประชาชนหลายกลุ่ม แต่เป็นการชดเชยผลกระทบจากโควิด-19 กำลังซื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ขาดรายได้มากว่า 4-5 เดือน ทั้งการปิดกิจการชั่วคราวและการเลิกจ้าง ขณะเดียวกันโครงการปลุกการท่องเที่ยวในประเทศ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน http://www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีผู้ลงทะเบียนราว 4.92 ล้านคน ลงทะเบียนสำเร็จ 4.67 ล้านคน แต่มีการจองโรงแรมและจ่ายเงิน 625,606 ห้อง จากจำนวนสิทธิ์ทั้งหมด 5 ล้านสิทธิ์ คิดเป็นเม็ดเงินเพียง 1,874.9 ล้านบาท จนกระทั่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องอัดฉีดเพิ่มวันพักจากเดิม 5 วัน เป็น 10 วัน และช่วยเหลือค่าตั๋วเครื่องบินจากเดิมไม่เกินคนละ 1,000 บาท เป็นคนละไม่เกิน

Read More

ศึกจีสโตร์ เซ็นทรัล-ซีพี เมื่อ “ท็อปส์เดลี่” ต้องชน “เซเว่นฯ”

หลังจากเสียกิจการบิ๊กซีในประเทศไทยให้กับเครือทีซีซีของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ล่าสุด กลุ่มเซ็นทรัลเปิดฉากรุกแนวรบ G-store (Gas Station Store) อีกครั้ง โดยดัน 2 แบรนด์ในพอร์ต ทั้งมินิซูเปอร์มาร์เก็ต “ท็อปส์เดลี่” และร้านสะดวกซื้อ “แฟมิลี่มาร์ท” ลุยสถานีบริการน้ำมันบางจาก เสียบแทนคอนวีเนียนสโตร์ข้ามชาติจากเนเธอร์แลนด์ “สพาร์ (SPAR)” ทันทีที่ยุติสัญญาและปิดสาขาในประเทศไทยทั้ง 46 แห่ง ล่าสุด ใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือน บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล เร่งสปีดเปิดสาขาท็อปส์ เดลี่ ในปั๊มบางจากไปแล้ว 11 แห่ง ได้แก่ สาขาบางจาก รามอินทรา กม. 7 บางบัวทอง ราชพฤกษ์ ร่มเกล้า เอ็มอาร์ที คลองบางไผ่ ศรีนครินทร์ ปากช่อง กาญจนาภิเษก-บางบอน เอโอที-สุวรรณภูมิ พระราม

Read More

BOI ดิ้นเฮือกใหญ่ หวังดึง FDI ลงทุนในไทย

ความซบเซาทางเศรษฐกิจทั้งในระดับนานาชาติและของไทย ที่ทำให้ภาวะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงมากเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ -30 ถึงร้อยละ -40 กำลังส่งผลลบต่อสภาพการลงทุนในประเทศไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างหนัก จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI ต้องเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อกระตุ้นการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ลดต่ำลงสามารถพิจารณาได้จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ระบุว่าในปี 2562 มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ขอรับการส่งเสริมรวม 991โครงการ ปริมาณเงินลงทุน 506,230 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 876 โครงการ เงินลงทุน 281,873 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 มี FDI ขอรับการส่งเสริมรวม 459 โครงการ เงินลงทุน 75,902 ล้านบาท ซึ่งแม้จะมีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 แต่มูลค่าเงินลงทุนกลับลดลงถึงร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ BOI ต้องเร่งปรับแผนเพื่อดึงการลงทุน

Read More

ส่องอนาคตของ EEC บนนโยบายเศรษฐกิจใหม่รัฐไทย

การปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ ในช่วงที่ผ่านมาได้จุดประกายของการตั้งคำถามในบริบทว่าด้วยความต่อเนื่องและทิศทางของนโยบายที่กำลังจะมุ่งไปนับจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของอนาคตและความเป็นไปในการพัฒนาโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC ที่เป็นประหนึ่งผลงานน่าพึงใจที่รัฐบาลประยุทธ์พยายามโหมประโคมในฐานะโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจหลักตลอดระยะเวลาของการบริหารรัฐนาวามายาวนานกว่า 6 ปี การพ้นออกจากตำแหน่งไปของรัฐมนตรีที่มีส่วนร่วมผลักดันและโหมโฆษณาโครงการพัฒนา EEC ในช่วงก่อนหน้านี้และแทนที่ด้วยรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบชุดใหม่ทำให้หลายฝ่ายเพ่งมองไปที่แนวทางการพัฒนาและนโยบายที่จะเกิดมีขึ้นว่าจะมีความชัดเจนและรูปธรรมอย่างไร ความกังวลใจของนักลงทุนต่างชาติในมิติของความชัดเจนและแนวทางการพัฒนา EEC ในห้วงเวลานับจากนี้ในด้านหนึ่งสะท้อนความเปราะบางของแผนพัฒนา EEC ที่ดำเนินอยู่ แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะดำเนินมานานมากกว่า 5-6 ปี หากแต่โครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนาในพื้นที่กลับดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและในหลายกรณีขาดการบูรณาการที่มีเอกภาพอีกด้วย การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่รับผิดชอบและกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ในด้านหนึ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนหัวรถจักรในการขับเคลื่อนพัฒนาการของ สกพอ. หากแต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ก็คือ สกพอ. มีกรอบกำหนดเป็นประหนึ่งรางให้เคลื่อนไปในทิศทางที่วางไว้ก่อนแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจจึงอยู่ที่ว่ารัฐมนตรีที่เข้ามารับผิดชอบครั้งใหม่นี้จะมีวิสัยทัศน์และความสามารถในการเร่งความเร็วหรือกำหนดทิศทางใหม่ของการพัฒนา EEC ไปในรูปแบบใด โดยไม่ทำให้การพัฒนา EEC ต้องสะดุดหรือตกรางไปในที่สุด ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในช่วงที่ผ่านมาในด้านหนึ่งคือการแสวงหาช่องทางของหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) เพื่อเข้าพบและหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรัฐมนตรีที่ดูแลงานด้านเศรษฐกิจชุดใหม่ เพื่อสอบถามถึงนโยบายเศรษฐกิจและแผนพัฒนา EEC ที่จะมีขึ้นนับจากนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ใน EEC จะเดินหน้าต่อเนื่องเพราะมี พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 มารองรับอยู่แล้ว และขณะนี้หลายโครงการก็คืบหน้าไปมากทั้งรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา แต่ประเด็นในเชิงนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจและ COVID-19 ที่ทำให้ทุกอย่างชะลอตัวเป็นกรณีที่นักลงทุนต้องการความชัดเจนอย่างยิ่ง ความเชื่อมั่นที่ว่าโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเดินหน้าต่อไปโดยรัฐบาลจะสานต่อโครงการนี้อย่างแน่นอนแม้ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีใหม่

Read More

เอสเอ็มอีท่องเที่ยวไทย เผชิญวิกฤตที่ยังไร้ทางออก

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าอุตสาหกรรมหลักๆ ของไทยที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ พึ่งพารายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก และเมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้สร้างผลกระทบเชิงลบในทุกระนาบ โดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่า เมื่อใดสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากวิกฤตโควิด-19 คือ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แม้ว่าในห้วงเวลาปัจจุบันไวรัสจะยังคงอยู่บนโลกนี้อย่างไม่มีวี่แววว่าจะจางหายไป แต่สถานการณ์การส่งออกของไทยยังพอมีแรงที่จะขับเคลื่อนไปได้บ้าง เมื่อไทยยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกที่ประเทศคู่ค้าต้องการ ขณะที่ภาคการลงทุนที่เหล่านักลงทุนยังต้องมองสถานการณ์ในหลายๆ ด้านประกอบการตัดสินใจ ทั้งเศรษฐกิจโลก ปัญหาการเมืองที่เริ่มส่งสัญญาณความรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลื่อนการลงทุนในไทยออกไป เมื่อยังมองหาเสถียรภาพที่มั่นคงได้ยากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลายฝ่ายยอมรับว่าครั้งนี้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวประสบกับวิกฤตของจริง เมื่อรายได้หลักมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 70-80% โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยปี 2562 ประมาณ 39.7 ล้านคน และสร้างรายได้มากถึง 1.93 ล้านล้านบาท ขณะที่ปีนี้ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับไวรัสร้ายนี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวนเพียง 6.69 ล้านคน และสร้างรายได้รวม 3.32 แสนล้านบาท ซึ่งหากเปรียบเทียบตัวเลขรายได้กับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วจะพบว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไปประมาณ 4.89 แสนล้านบาท การสูญเสียรายได้หลักของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่งผลให้มีผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวจดทะเบียนขอเลิกประกอบกิจการประมาณ 90 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ 39 ราย เชียงใหม่ 9 ราย ภูเก็ต

Read More

เจาะห้างทองเจนใหม่ ตู้ออนไลน์ “ออม-ถอน” ครบวงจร

จากพ่อค้าตระเวนรับซื้อเศษทองตามชุมชนย่านนนทบุรีเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ค่อยๆ สะสมทุนเปิด “ร้านทองเนรมิต” ลงหลักปักฐานจนเป็นที่รู้จักของผู้คน แต่ด้วยความที่ไม่อยากสืบทอดกิจการแค่การนั่งเฝ้าหน้าร้าน ซื้อมาขายไป “วชิรศักดิ์ ศรีศักดิ์สกุลชัย” ในฐานะเจเนอเรชั่น 3 จึงงัดไอเดียแปลงโฉมใหม่ภายใต้แบรนด์ “ซาริน่า (Zarina)” รุกขยายธุรกรรมแบบครบวงจร 24 ชั่วโมง ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะโมเดลล่าสุด “ตู้ทองมา” ที่รวมทุกแพลตฟอร์มเพื่อเจาะฐานตลาดครั้งใหญ่ แน่นอนว่า ช่วง 5 ปีของ “ซาริน่า” ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ปรับเปลี่ยนจากกิจการครอบครัวเป็นบริษัทมหาชน และใช้วิธีการขยายสาขา ทั้งการลงทุนเองและขายแฟรนไชส์ จนปัจจุบันมีสาขาหน้าร้านของบริษัท 5 แห่ง ได้แก่ สาขาเอสพลานาด แคราย สาขาบางใหญ่ สาขาสนามบินน้ำ สาขากาญจนาภิเษก สาขาอุดรธานี และสาขาแฟรนไชส์อีก 2 แห่งที่ จ. พะเยา และตั้งฮั่วเส็ง สิรินธร ขณะที่ตู้ออมทองออนไลน์ “ทองมา” ซึ่งรุกขยายอย่างจริงจังได้ปีเศษๆ

Read More

ช่างทอง 2 แสนคน อ่วม พิษตลาดป่วนขึ้นลงแรง

จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ออกมาย้ำเตือนถึงสถานการณ์ตลาดทองคำที่กำลังปั่นป่วนผันผวนอย่างหนัก เปลี่ยนราคากันทุกชั่วโมง ขึ้นแรงและร่วงลงแรง เพราะไม่ใช่แค่อาการเจ็บหนักของกลุ่มนักเก็งกำไรรายย่อย รายกลาง แต่กำลังส่งผลกระทบต่อช่างทำทองในอุตสาหกรรม จำนวนกว่า 200,000 คน มีสิทธิ์ตกงานสูงถึง 60-70% เหตุผลสำคัญ คือ เมื่อตลาดทองคำไม่นิ่ง กลุ่มลูกค้าผู้ซื้อส่วนใหญ่จะรอ เพื่อซื้อหรือขาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าทองรูปพรรณหายไปเกือบทั้งหมด ร้านทองปลีกหยุดสั่งซื้อ ร้านทองค้าส่งหยุดออร์เดอร์และกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกลุ่มช่างทำทองทันที ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ ปิดให้บริการห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ผู้คนงดการเดินทาง ทำให้ช่วงครึ่งปีแรกโรงงานผลิตทองรูปพรรณหยุดการผลิตไปจำนวนมาก และหยุดการจ้างกว่า 50% นายจิตติกล่าวว่า หากดูข้อมูลการซื้อขายทองคำช่วงเดือนกรกฎาคม ลูกค้าส่วนใหญ่นำทองแท่งมาขาย เพื่อกินส่วนต่างราคาที่เพิ่มสูงขึ้นและเริ่มนำทองรูปพรรณมาขายในช่วงเดือนสิงหาคม ขณะที่ด้านการส่งออกไปต่างประเทศมีปัญหา ปริมาณและมูลค่าเริ่มน้อยลง เนื่องจากประเทศแถบยุโรปยังเจอปัญหาโควิด-19 แพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของผู้ประกอบการร้านทองยังมีทุนหมุนเวียนอยู่ ร้านรายใหญ่สามารถสั่งจ่ายเช็คให้ลูกค้า ส่วนร้านรายย่อยจ่ายเงินสด “ร้านทองยังอยู่ได้ แต่เป็นห่วงกลุ่มช่างทอง เพราะทองรูปพรรณขายไม่ได้เลย โดยขายไม่ดีตั้งแต่เกิดโควิด-19 เรื่อยมาจนเกิดสถานการณ์ตลาดทองคำผันผวน ยิ่งไม่มีลูกค้าซื้อ มีแต่นำมาขาย ช่างทองมีปัญหา โรงงานเล็กๆ ปิดไปเยอะ ต่างประเทศไม่สั่งก็เดือดร้อนหมด ผมคาดช่างทำทองในระบบรวมกับกลุ่มจิวเวลรี่

Read More

ทองผันผวนหนัก จับตากองทุนเทขาย

ราคาทองคำกลายเป็นประเด็นร้อนแรงหลังพุ่งทะลุระดับบาทละ 30,000 บาท และมีการประกาศราคาหลายรอบ บางวันเปลี่ยนแปลงมากกว่า 40 ครั้ง ทุบสถิติเป็นประวัติการณ์ เกิดการเก็งกำไร ผู้คนแห่เข้าคิวขายเป็นแถวยาวเหยียดหนาแน่น แต่หลังจากนี้ต้องจับสัญญาณความเสี่ยงและปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มกองทุนต่างชาติเพราะจะเป็นตัวการทำให้ราคาทองผันผวนและพลิกร่วงลงได้ ขณะเดียวกัน หากพิจารณาข้อมูลต่างๆ เริ่มจากภาพรวมความต้องการซื้อทองคำของทั้งโลกยังเพิ่มขึ้น แม้เจอภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในแง่ความต้องการเพื่อการสวมใส่เครื่องประดับ ทองคำเพื่อการลงทุน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศผู้นำเข้าทองคำแท่งมากเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน และความต้องการของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ว่ากันว่า ธนาคารกลางที่ถือครองทองคำเป็นเงินสำรองมากที่สุดในโลก คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มากกว่า 8,000-9,000 ตัน ตามด้วยเยอรมนี 3,369 ตัน และอิตาลี 2,451 ตัน แต่ประเทศที่ถูกจับตามากกลับเป็นจีนและรัสเซีย เนื่องจากทั้งสองประเทศพยายามถือครองทองคำในเงินทุนสำรองมากขึ้น เพื่อลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐและลดบทบาทเงินดอลลาร์สหรัฐ นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำผันผวนมากจนไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขเป้าหมายชัดเจนได้ แต่หากประเมินราคาทองคำมีโอกาสขยับขึ้นในระยะสั้น เพราะเหตุการณ์ต่างประเทศยังมีปัญหาหลายอย่าง และอยู่ในจุดรุนแรงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิดร้ายแรงในกรุงเบรุตจนจุดกระแสประท้วงต่อต้านรัฐบาล กรณีความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล และประเทศแถบยุโรปยังมีการระบาดต่อเนื่อง อย่างกรณีเลบานอน แม้ล่าสุด นายกรัฐมนตรีฮัสซัน ดิอับ

Read More

ระเฑียร ศรีมงคล เร่ง Re-engineering องค์กร นำ KTC ฝ่าวิกฤต

“วิกฤตครั้งนี้หนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 อาจจะหนักที่สุดในรุ่นอายุของเรา และที่สำคัญมันทำให้ธุรกิจบัตรเครดิตเปลี่ยนไปอย่างถาวร” ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบัตรกรุงไทย (เคทีซี) กล่าวกับผู้จัดการ 360 องศา ถึงการระบาดของโควิด-19 ที่กระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างและซึมลึกจนหลายฝ่ายมองว่าแรงสั่นสะเทือนครั้งนี้อาจจะกลายเป็นสึนามิทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลก หลายธุรกิจที่ไม่สามารถทนต่อบาดแผลทางเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ ต้องประกาศล้มละลายหรือปิดตัวลง แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจที่ยังอยู่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เช่นเดียวกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “เคทีซี” ผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างผลกำไรนิวไฮมาได้ต่อเนื่องถึง 7 ปีซ้อน แต่วิกฤตโควิดครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อองค์กรไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ต้องเร่ง Re-engineering องค์กร หากลยุทธ์ที่จะนำพาเคทีซีฝ่าวิกฤต โดยบาดเจ็บให้น้อยที่สุด รวมถึงต้องเตรียมรับมือกับโลกหลังวิกฤตโควิด-19 ที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากการแพร่ระบาดของไวรัสและการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และภาคการใช้จ่ายของประชาชน ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีและการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้ลดลง ยอดการใช้บัตรในเดือนเมษายน 2563 ลดลงถึง 40% โดยกระทบทุกเซกเมนต์ของธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจด้าน

Read More

การล่มสลายของธุรกิจไทย เปราะบาง-อิงต่างชาติมากเกินไป?

การประกาศปรับลดประมาณการตัวเลขจีดีพีไทยในปี 2563 ที่อาจติดลบถึง 9 เปอร์เซ็นต์ เสมือนเป็นการยอมรับโดยดุษณีว่า เศรษฐกิจไทยยังไร้กำลังฟื้นตัว และวิกฤตจากโควิด-19 ส่งผลเสียต่อระบบหนักกว่าเมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์เศรษฐกิจในหลายสถาบันต่างมองหาความเป็นไปได้ว่า เศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางการฟื้นตัวไปในรูปแบบใด ระหว่างรูปแบบตัว V รูปแบบตัว U หรือรูปแบบตัว L ซึ่งตัวแปรที่จะก่อให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ใช่อาศัยจังหวะที่เอื้ออำนวยอันนำมาซึ่งกำลังซื้อที่แข็งแรงขึ้นหรือนโยบายจากภาครัฐที่จะผลักดันให้อุปสงค์เพิ่มกำลังขึ้นเท่านั้น แค่เพียงนโยบายอุดหนุนจากรัฐบาลที่มุ่งหวังให้มีกระแสเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อคนในชาติด้วยกันเอง ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เมื่อทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการล้วนแต่ใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งดูจะเป็นการ์ดที่มีไว้ป้องกันตัวเอง เพราะสถานการณ์ในหลายด้านยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด ไม่ว่าจะจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สงครามการค้ารอบใหม่ที่เริ่มร้อนแรงขึ้น หรือเหตุการณ์โศกนาฏกรรมคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก หลังจากมาตรการผ่อนปรนที่รัฐบาลประกาศออกมา พร้อมทั้งนโยบายอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ในสัดส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ประชาชนยังใช้สิทธิไม่มากอย่างที่หวังไว้ สัดส่วนการเข้าใช้สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเพียงกระผีกลิ้นจากโครงการดังกล่าว เป็นภาพสะท้อนสถานการณ์ของกำลังซื้อภายในประเทศ และการระมัดระวังในการจับจ่ายของประชาชนมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เมื่อภาคเอกชนต่างเรียกร้องให้รัฐออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มขึ้น ด้วยหวังว่าจะมีเงินหมุนเวียนเข้ามายังสายใยของธุรกิจที่แบกความหวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยที่นับถอยหลังสู่การล่มสลาย เมื่อมองไม่เห็นสัญญาณในทางบวกที่พอจะไปต่อได้ นั่นอาจเป็นเพราะโครงสร้างของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยเกาะติดและยึดโยงกับรายได้ที่มาจากต่างประเทศมาอย่างยาวนาน เวลานี้อาจดูเป็นเรื่องยาก หากผู้ประกอบการไทยจะมองหาตลาดใหม่เข้ามาทดแทนตลาดเดิม เมื่อหลายประเทศคู่ค้ายังประสบกับสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจไม่ต่างกัน วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ สร้างผลกระทบให้แก่ธุรกิจทุกขนาด และทุกแวดวง โดยเฉพาะธุรกิจ SME ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจผลกระทบโควิด-19 ต่อ

Read More