Home > Cover Story (Page 118)

อนาคตรถกระบะแคป บนมาตรการที่คลุมเครือ

ข่าวว่าด้วยมาตรการของรัฐในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตามคำสั่งมาตรา 44 ที่ 14-15/2560 ของหัวหน้า คสช.ไม่เพียงแต่จะสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในสื่อออนไลน์และโลกโซเชียลมีเดีย จนทำให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งชะลอการบังคับใช้อย่างเข้มงวดออกไปก่อน หากแต่ในอีกด้านหนึ่ง กรณีดังกล่าวอาจเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะสั่นคลอนความเป็นไปและยอดการจำหน่ายรถยนต์กระบะ ซึ่งถือเป็นรถยนต์ยอดนิยมของสังคมไทยในอนาคตอีกด้วย ด้วยคุณลักษณะของความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถเติมเต็มวิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรมกึ่งสังคมเมือง รถยนต์กระบะกลายเป็นยานพาหนะที่พร้อมจะตอบโจทย์ความต้องการของสังคมได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นในมิติของการขนส่งสิ่งของ หรือเคลื่อนย้ายผู้คน ที่ทำให้รถยนต์กระบะกลายเป็นทางเลือกแรกๆ ที่ได้รับการนึกถึง และส่งผลให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มนี้มีสัดส่วนมากถึงกว่าร้อยละ 43-50 ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวมกันในแต่ละปี จากตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์รวมในปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่ามียอดจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวม 770,000 คัน โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์กระบะขนาด 1 ตัน รวม 335,000 คันหรือคิดเป็นร้อยละ 43.5 ของยอดจำหน่ายรถยนต์รวมตลอดทั้งปี ขณะที่ตัวเลขยอดการจำหน่ายรถยนต์ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา พบว่ายอดการจำหน่ายรถยนต์ทุกประเภทรวมอยู่ที่จำนวน 125,689 คัน โดยเป็นรถยนต์กระบะรวม 65,092 คัน หรือคิดเป็นร้อยละ 51.8 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความนิยมและนัยสำคัญของรถยนต์กระบะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เป็นอย่างดี ประเด็นที่น่าสนใจประการหนึ่งของการประกาศใช้มาตรการคุมเข้มด้านจราจรที่ออกมาในช่วงต้นเดือนเมษายน เพื่อรองรับกับเทศกาลสงกรานต์อยู่ที่การประกาศมาตรการที่ว่านี้ อยู่ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวและต่อเนื่องกับกระแสข่าวเชิงลบว่าด้วยการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ และข่าวเกี่ยวกับบ่อนกาสิโนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำให้ความสนใจในข่าวทั้งสองนี้ถูกบดบังลงไปโดยปริยาย ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งข่าวมาตรการคุมเข้มจราจรที่ว่านี้ยังอยู่ในช่วงเวลาที่สังคมไทยและค่ายรถยนต์ทุกค่ายกำลังอยู่ในช่วงของมหกรรมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 และกำลังเร่งส่งเสริมการขายกันอย่างหนักหน่วง โดยผู้จัดงานตั้งเป้าที่จะมียอดการจองรถยนต์ในงานนี้รวม

Read More

บี.กริม สยายปีกธุรกิจไฟฟ้า กับเป้าหมาย Battery of Asean ของลาว

  หลังจากเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 4 และ 5 ที่จังหวัดระยองไปเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือนพฤษภาคม ที่จะถึงนี้ นับได้ว่าจังหวะการก้าวย่างของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้จะผ่านการวางแผนอย่างเป็นระบบมาแล้ว รวมไปถึงกลยุทธ์ที่เปิดเผยว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีการตั้งเป้าหมายที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ว่าต้องการจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 5,000 เมกะวัตต์ และดูจะเป็นไปได้มาก แม้ว่า บี.กริม จะมองว่าตัวเองเป็นเพียงนักลงทุนธุรกิจพลังงานขนาดเล็กเท่านั้น เพราะเมื่อพิจารณาจากโครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในมือที่มีอยู่ 43 โครงการ ที่มีกำลังการผลิต 2,357 เมกะวัตต์ และโครงการที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว 28 โครงการ โดยมีกำลังการผลิต 1,626 เมกะวัตต์ ทำให้เห็นว่าเป้าหมายของ บี.กริม ดูจะไม่ไกลเกินเอื้อมเลย นอกจากโครงการโรงไฟฟ้าที่ บี.กริม ดำเนินการอยู่ในประเทศไทยแล้ว สปป.ลาว ถือเป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ บี.กริม เลือกในการวางหมากรุกตลาดพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากความสมบูรณ์ด้านทรัพยากร และนโยบายของรัฐบาล สปป.ลาวที่ต้องการจะเป็น Bettery of Asean

Read More

“Uber-Agoda” ทางเลือกใหม่ที่ถูกใจ-ไม่ถูกต้อง?

ในห้วงยามแห่งจังหวะของการก้าวย่างที่เต็มไปด้วยความมุ่งหมายที่จะพัฒนา ไม่ว่าจะจากภาคส่วนของรัฐบาล หรือภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ จะบังเกิดขึ้น ทั้งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป้าหมายที่รัฐบาลไทยตั้งเอาไว้ว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” จะบรรลุผลในเร็ววัน จากสายตาคนภายนอกเมื่อมองเข้ามายังประเทศไทย อาจจะเห็นศักยภาพบางอย่างที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจ ในช่วงเวลานี้จึงไม่น่าแปลกใจนักที่จะเห็นการเข้ามาของเงินทุนจากภายนอก และบริษัทต่างชาติที่ตบเท้าเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไม่เว้นแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ทั้งชื่อชั้นในการดำเนินธุรกิจและเทคโนโลยีที่นำสมัย ในที่นี้ขอกล่าวถึงสองบริษัทที่กำลังเป็นที่นิยมจากประชาชนที่เป็นผู้บริโภคที่มองว่า นี่คืออีกทางเลือกหนึ่งในบรรดาตัวเลือกมากมาย ขณะที่ภาครัฐกำลังจับตามองในอีกนัยหนึ่ง เมื่อในช่วงเวลานี้ ทั้งสองบริษัทกำลังถูกหยิบยกขึ้นมาในข้อพิพาทถึงความถูกต้องตามกฎหมายของไทย Agoda เว็บไซต์ผู้ให้บริการสำรองที่พักสำหรับนักเดินทางผ่านระบบออนไลน์ ที่มีเครือข่ายทั่วโลก และที่สำคัญคือมีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย ขณะที่เว็บไซต์ดังกล่าวมีโรงแรมที่พักให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้บริการมากถึง 25,616 แห่งทั่วประเทศ แน่นอนว่าคงไม่ต้องพูดไปไกลว่า โรงแรมทั่วโลกที่ถูกบรรจุเอาไว้ในเว็บไซต์ Agoda มีมากเพียงใด กระนั้นเมื่อประมาณกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญว่ากระทรวงกำลังเตรียมหารือกับเว็บไซต์ Agoda ในฐานะผู้ให้บริการจองห้องพักในโรงแรมที่มีเครือข่ายมากที่สุดในโลก ในเรื่องการทำตลาดด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นขอไม่ให้ Agoda กดราคาห้องพักกับผู้ประกอบการ และอยากให้เป็นอิสระตามกลไกตลาด หลังจากที่ผ่านมาพบว่า Agoda มีข้อตกลงกับผู้ประกอบการโรงแรมว่า ผู้ที่จะมาอยู่ในลิสต์รายชื่อให้บริการเช่าห้องพักผ่านเว็บไซต์นั้น ต้องมีการตั้งราคาที่ Agoda ให้ถูกที่สุดเท่านั้น

Read More

สัปดาห์หนังสือ: เมื่อเนื้อหาคือราชา แต่ช่องทางคือราชินี

บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี ส่งผลให้กรอบโครงของการใช้ชีวิตผู้คนในสังคมเปลี่ยนไปจากเดิม สังคมก้มหน้ากลายเป็นภาพชินตาที่ปรากฏอยู่ให้เห็นในแทบจะทุกสถานที่ แสงสว่างที่อุปกรณ์สื่อสารสะท้อนขึ้นบนหน้าบ่งบอกว่าผู้ใช้กำลังก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่ดำเนินไปด้วยความเร่งรีบ ตามความเร็วของสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ เสมือนประหนึ่งว่าการใช้ชีวิตในห้วงยามนั้นอยู่ในชั่วโมงเร่งด่วนตลอดเวลา ภาพเหล่านี้เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่วิวัฒนาการขึ้นแบบก้าวกระโดด และเป็นอีกผลกระทบหนึ่งในหลายๆ มิติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในอีกแง่มุมที่สำคัญที่ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีกลายเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์ความเป็นไปของอุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์ คล้ายกับจะบอกว่า นี่คือเวลาที่สื่อสิ่งพิมพ์ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด การเข้ามาของสื่อดิจิตอลและสื่อออนไลน์ ทำให้เกิดการกระจายตัวของเม็ดเงินโฆษณา จากเดิมที่เคยกระจุกตัวอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์ เมื่อเม็ดเงินโฆษณาถูกลดทอนลง นั่นหมายถึงความอยู่รอดของหลายสำนักที่การปิดตัวดูจะเป็นทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ ในช่วงเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา นับเป็นห้วงเวลาแห่งการล้มหายตายจากของสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสารบางฉบับที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์มานานกว่า 60 ปี ปิดตัวลงสร้างความรู้สึกสะเทือนใจที่ไม่ใช่เฉพาะผู้อยู่เบื้องหลังและคนทำหนังสือเท่านั้น เพราะการปิดตัวลงหมายถึงการปิดพื้นที่ของผลงานที่มีความน่าสนใจของนักเขียนหรือคอลัมนิสต์ที่ส่งต่องานเขียนที่กลั่นกรองจากสมองและสองมือถึงนักอ่านที่รอคอย แม้ว่าการปิดตัวของสื่อบางฉบับจะมีสาเหตุหลักมาจากเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลงแล้ว อีกสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ “การอ่านน้อยลง” ของผู้คนในสังคมที่วันนี้กลายเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายกำลังกังวล และพยายามที่จะหาหนทางในการแก้ไข กระนั้น ไตรลุจน์ นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่า งบโฆษณาของปี 2560 น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2559 ที่มีงบประมาณ 133,666 ล้านบาท แต่นั่นถือว่ายังต่ำกว่างบประมาณโฆษณาในปี 2558 ที่มีงบประมาณอยู่ที่ 136,770 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการมาถึงของสื่อดิจิตอลคงจะหนีไม่พ้นนักข่าว ที่หากไม่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในเวลานี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะตกงาน

Read More

Facebook/Google : ทางออกภาษีโฆษณา กับการขยายตัวของ E-Commerce ไทย

เมื่อเทคโนโลยีสื่อสารในปัจจุบันถูกพัฒนาจนรุดหน้าไปไกล ส่งผลให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ง่าย จนให้ความรู้สึกว่า “ความห่างไกลกันคนละซีกโลกนั้น แทบไม่มีความหมายอีกต่อไป” นอกจากความสะดวกรวดเร็วที่ได้รับในด้านการเชื่อมต่อระหว่างบุคคลแล้ว ความง่ายในการเข้าถึงข้อมูลและสาระสำคัญรวมไปถึงข่าวสารต่างๆ บนโลกใบนี้ย่อมดำเนินไปตามครรลองเดียวกัน พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสื่อสาร ถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือสำหรับนักการตลาด และนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ กลาง หรือธุรกิจขนาดย่อม เพื่อเป็นช่องทางที่จะสื่อสารและนำเสนอข้อมูล รายละเอียดของสินค้า ให้ไปถึงมือกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและสามารถวัดผลได้ทันท่วงที ความทันสมัยของเทคโนโลยี รูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งาน รวมไปถึงความสามารถในการวัดผลและความพึงพอใจของลูกค้าได้ทันทีนั้น ส่งผลให้ธุรกิจ E-Commerce ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีเครือข่ายบนโทรศัพท์มือถือ ที่ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้ง 3G และ 4G นั่นทำให้รูปแบบการซื้อขายบนตลาดออนไลน์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว มูลค่าตลาด E-Commerce ในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 240,000 ล้านบาท หรือมีการเติบโตอยู่ที่ 20 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือไปจากความเร็วของเครือข่ายที่ถูกพัฒนาให้พร้อมรองรับจำนวนผู้คนที่ใช้งานแล้ว รูปแบบการทำธุรกรรมการเงินทางออนไลน์ของธนาคารต่างถูกพัฒนาให้มีความสะดวก ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ข้อดีของการทำธุรกิจ E-Commerce ที่นอกจากจะไม่มีต้นทุนด้านพื้นที่สำหรับวางจำหน่ายสินค้าแล้ว ความสามารถของเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ขายไม่ได้ถูกจำกัดพื้นที่อยู่ที่ใดเพียงที่เดียวทำให้จำนวนผู้ค้าออนไลน์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. สำรวจพบว่าในปี 2559 มีผู้ค้าออนไลน์ในประเทศจำนวน 527,324 ราย และมีมูลค่ารวมกว่า

Read More

ฤทธิ์ ธีระโกเมน ปรับลุค MK ยุคใหม่ ส่งต่อ “เจน 3”

“MK ยุคต่อไปต้องมาจาก New Generation เรากำลังพัฒนาคนรุ่นใหม่ หัวคิดใหม่และมีพลัง...” ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ย้ำโรดแมพที่วางไว้หลังจากลุยสร้างอาณาจักรธุรกิจร้านอาหารมาอย่างยาวนาน ติด 1 ใน 20 มหาเศรษฐีไทย และตั้งเป้าต้องการเป็นผู้นำในฐานะ Restaurant Food Chain Expert เป็น Multi Brand Company ที่มีแบรนด์ร้านอาหารครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ รองรับทุกตลาดและทุกกลุ่มเป้าหมาย “เราเป็น Creative Founder ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเกษียณ 100% แต่ต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ เพื่อเรียนรู้และก้าวข้ามไปให้ได้ ซึ่งไม่ใช่ง่าย ประสบการณ์มากมาย บางครั้งต้องใช้เวลาเรียนรู้นานถึง 10 ปี” ทั้งนี้ เส้นทางของฤทธิ์ ธีระโกเมน เริ่มต้นชัดเจนหลังเปิดร้านสุกี้เอ็มเคสาขาแรกในศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อ 30 กว่าปีก่อน โดยฉีกแนวคู่แข่งในเวลานั้น เปลี่ยนจากหม้อสุกี้เตาแก๊สเป็นเตาไฟฟ้า

Read More

“เจน 3” เปิดแนวรบ ฉีกกรอบ จาก “ลอนดอนสตรีท” ถึง “เอ็มเคไลฟ์”

อาณาจักรธุรกิจ “เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป” ใช้เวลามากกว่า 5 ทศวรรษ จากเจนเนอเรชั่นแรก ยุคคุณป้าทองคำ เมฆโต เข้ามาทำกิจการร้านอาหารไทยร่วมกับมาคอง คิงยี (Makong King Yee) ชาวฮ่องกง ซึ่งเป็นที่มาของ คำว่า “MK” แถวๆ สยามสแควร์ จน มาคอง คิงยี ต้องย้ายครอบครัวไปอยู่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา และตกลงขายกิจการให้ป้าทองคำ ซึ่งมีลูกสาว คือ ยุพิน ช่วยกันดำเนินกิจการและเป็นที่รู้จักชื่นชอบในหมู่นักกิน โดยมีอาหารขึ้นชื่อในยุคนั้น ได้แก่ ข้าวมันไก่ เนื้อตุ๋น ผัดไทย ผัดขี้เมา เนื้อย่างเกาหลีเตาถ่าน ยำแซ่บๆ และเค้ก จาก “ป้าทองคำ” สู่การบุกเบิกของเจนเนอเรชั่น 2 ที่เหมือนพรหมลิขิตให้บรรดาหัวเรือใหญ่มาเจอกัน เมื่อฤทธิ์ ธีระโกเมน ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มต้นทำงานในสำนักพิมพ์นิตยสารคอมพิวเตอร์ก่อนมาจับมือกับเพื่อนคู่ใจ ทนง

Read More

RSU 5.0 นวัตกรรม ม.รังสิต บนความพยายามของการศึกษาไทย

ความเคลื่อนไหวของมหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กับการเปิดเผยทิศทางและภาพรวมของแผนการที่กำลังดำเนินไปอย่างมีกรอบโครง ที่ถูกกำหนดเอาไว้ในอนาคต ภาพชัดที่ฉายขึ้นมานั้นดูจะอุดมไปด้วยความคาดหวังที่มุ่งจะสร้างนวัตกรรมทางการศึกษารูปแบบใหม่ โดยมีหมุดหมายเพื่อสร้างให้เกิดแรงขับเคลื่อนของมหาวิทยาลัยรังสิต ให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แผนการลงทุนในธุรกิจของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยรังสิตที่จะผุดโรงพยาบาลอาร์เอสยู อินเตอร์เนชั่นแนล บนพื้นที่ 11 ไร่ ย่านธุรกิจบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ และด้วยงบประมาณสูงนับหมื่นล้านบาท อาจจะเป็นคำตอบที่สามารถไขข้อข้องใจในคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายคนได้เป็นอย่างดี ที่ว่าศักยภาพด้านการแพทย์ของไทยนั้นก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใด ทว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กลับบอกว่า “จุดประสงค์ของเราไม่ได้ต้องการสร้างโรงพยาบาลเพื่อทำธุรกิจ แต่อยากจะสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องแสดงศักยภาพของประเทศ” ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมถึงความเป็นมาของโครงการนี้ว่า มีแนวความคิดในการสร้างโรงพยาบาลที่ไม่เหมือนโรงพยาบาล เปลี่ยนความเจ็บป่วย สิ้นหวัง และสลดหดหู่ มาเป็นการอยู่กับธรรมชาติ สถานที่สวยงาม โดยกำหนดให้มีพื้นที่สีเขียวร้อยละ 35 เป็นสถานบริการด้านสุขภาพที่คนมาแล้วมีความสุข เป็น The Most Humanized Medical Care เน้นความเป็นมนุษย์ เอาใจใส่ และเอื้ออาทร นอกจากนี้แนวความคิดที่สองคือ การสร้างโรงพยาบาลที่มีศูนย์การแพทย์ขั้นสูงครบวงจร เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ในการรักษาพยาบาลในอนาคต และแนวความคิดที่สาม คือการเป็นโรงพยาบาลที่มีองค์ความรู้ทั้งการแพทย์แผนตะวันตก และการแพทย์แผนตะวันออก โดยเฉพาะ Oriental Medicine ที่ประกอบไปด้วยแพทย์แผนไทย แผนจีน และแผนอินเดีย กลยุทธ์ของผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยรังสิตที่นอกจากความต้องการจะปรับรูปแบบของโรงพยาบาลให้ห่างไกลจากความหดหู่และความสิ้นหวังของผู้เข้ามารักษาพยาบาลแล้ว

Read More

“อาทิตย์ อุไรรัตน์” : ตำนานที่มีชีวิตและความหวังครั้งใหม่

หากกล่าวถึงนักธุรกิจ-การเมืองไทยที่ดำเนินบทบาทโลดแล่นและอุดมด้วยสีสัน พร้อมด้วยเรื่องราวแห่งชีวิตที่มีทั้งมิติของความสำเร็จและบทเรียนบนความล้มเหลวให้ได้สืบค้นติดตาม “อาทิตย์ อุไรรัตน์” ถือได้ว่าเป็นอีกชื่อหนึ่งในทำเนียบนามของ “ตำนานที่ยังมีชีวิต” (Living Legend) ที่ต้องได้รับการเอ่ยถึงในลำดับต้นๆ อย่างไม่อาจปฏิเสธ เพราะด้วยวัย 79 ปี หากเป็นผู้คนทั่วไปคงใช้เวลาในช่วงที่เป็นประหนึ่งปัจฉิมวัยนี้ ให้ผ่านพ้นไปด้วยการพักผ่อน หรือแม้กระทั่งคิดทบทวนอดีตกาลครั้งเก่า ด้วยท่วงทำนองที่อ่อนแรงกำลังในการสร้างสรรค์และขาดความคิดคำนึงถึงอนาคตเบื้องหน้า แต่สำหรับ อาทิตย์ อุไรรัตน์ ดูเหมือนเขายังอุดมด้วยจิตวิญญาณของการพัฒนาและความคิดฝันคาดหวังที่หาได้ยากสำหรับผู้คนที่กำลังมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้สูงอายุในวัย 80 (octogenarian) นี้ ความแตกต่างของ อาทิตย์ อุไรรัตน์ เมื่อเปรียบเทียบกับนักธุรกิจ-การเมือง รายอื่นๆ ของสังคมไทยที่เห็นได้ชัดในด้านหนึ่งอยู่ที่ทัศนะที่ก้าวหน้า ความกล้าหาญในการตัดสินใจโดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และไม่สยบยอมต่ออำนาจและผลกระทบที่อาจมีต่อกิจการของเขาและครอบครัว ซึ่งในด้านหนึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของอาทิตย์ อุไรรัตน์ ทั้งในมิติของการเมืองและธุรกิจ ดูประหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก แต่ด้วยวิถีที่ว่านี้ อาทิตย์ อุไรรัตน์ กลับกลายเป็นตัวแบบ (model) และตัวแทน (represent) ที่สะท้อนมิติความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ได้เป็นอย่างดี ย่างก้าวของอาทิตย์ อุไรรัตน์ นับตั้งแต่การเข้าไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการประปานครหลวง เมื่อปี 2527 ซึ่งได้รับการกล่าวถึงในฐานะ อัศวินม้าขาว ที่เข้าไปกอบกู้กิจการของการประปานครหลวงที่เคยเป็นดินแดนสนธยาและอุดมด้วยผลประโยชน์ ให้ปลอดพ้นจากอำนาจแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ของทั้งเหล่าข้าราชการและนักการเมือง

Read More

เนด้า-สปป.ลาว สร้างระบบประปา พัฒนาคุณภาพชีวิต

ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาก้าวล้ำไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นมุมใดของโลก สังคมโซเชียลเองก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คนจำนวนมาก อุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนหมู่มากไปแล้ว หากแต่อีกซีกหนึ่งของโลกกว้างใหญ่ใบนี้ยังมีอีกหลายเมืองที่ผู้คนยังขาดปัจจัยสี่ซึ่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตด้อยกว่าหลายประเทศที่อยู่แวดล้อม แม้ว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะอุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติอันเป็นเสน่ห์ที่สำคัญในการดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาสัมผัสวิถีแห่งความเป็นธรรมชาติและกลิ่นอายของเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติและอารยธรรมที่น่าค้นหา กระนั้นอีกหลายเมืองใน สปป.ลาว ยังขาดความพร้อมในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต “น้ำ” หลายหมู่บ้านใน สปป. ลาว ประชาชนยังคงต้องใช้น้ำจากลำธาร หรือขุดเจาะนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งจะประสบปัญหาเมื่อเข้าสู่หน้าแล้งที่ส่งผลให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติแห้งเหือดลง เมื่อสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์นัก ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น ที่ทำให้ยากต่อการพัฒนาและต่อยอด ทั้งในมิติของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่น่าจะทำให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานในอนาคต แม้ว่าหลายเมืองใน สปป.ลาว เช่น เมืองหลา เมืองแบ่ง เมืองคอบ เมืองห้วยทราย เมืองไชบุลี เมืองยมมะลาด เมืองพะลานไช เมืองสาละวัน เมืองสุขุมา เมืองปากซอง เมืองโขง เมืองมูนละปาโมก และเมืองคีนาด จะยังต้องการการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน หากแต่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) หรือ NEDA ที่มีพันธกิจสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อมองว่าการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญซึ่งง่ายต่อการต่อยอดไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆ อย่างยั่งยืน และเพื่อให้ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้พัฒนาก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน ทำให้ NEDA ตัดสินใจเลือกเมืองที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย 5 เมือง

Read More